วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2557

นิสัยสุดแปลกจากคนดังระดับโลก 11 นิสัยที่คุณอาจไม่รู้

วันนี้จะมาดูแนวคิดและนิสัยจากคนดังระดับโลกที่ดูแล้วเค้าไม่เหมือนใครจริงๆ สำหรับบุคคลดังระดับโลก ที่มีความสามารถสร้างสรรค์ผลงานไอเดียออกมาจนน่าทึ่ง มักจะมีความคิดนิสัยแปลกๆ ไม่เหมือนกับคนทั่วไป  ทุกอย่างต้องมีการครีเอทความแปลกใหม่ไปซะหมด พูดมาขนาดนี้แล้ว คุณเชื่อผมไหมคับ ว่าพวกเขามีนิสัยไม่ธรรมดาจริงๆ ถ้าไม่เชื่อเราไปติดตามนิสัยและตัวตนที่แท้จริงของพวกเขากันเลย…11 นิสัยสุดแปลก ของคนดังระดับโลก
11 นิสัยสุดแปลก ของคนดังระดับโลก (5)
บิล เกตส์ (Bill Gates)

11 นิสัยสุดแปลก ของคนดังระดับโลก

เริ่มจากคนที่ 1. บิล เกตส์ (Bill Gates)
จำได้ไหมคะ? ผู้ก่อตั้งและที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีของไมโครซอฟต์ ผู้สร้างไอเดียเทคโนโลยีระดับสูง โดยใช้เพียงกระดานไวท์บอร์ดธรรมดาๆ เท่านั้น และเขามักจะมีนิสัย ชอบพกปากกาเจ๋งๆ ดีๆ เสมอ เพราะมันจะช่วยทำให้เขาเกิดการ Brainstorm หรือเกิดความคิดชั่วขณะนั้นทันที และสามารถถ่ายทอดออกมาได้ดีเยี่ยม ให้กับคนอื่นๆ และในบางครั้งกับตัวเขาเอง”
11 นิสัยสุดแปลก ของคนดังระดับโลก (6)
โยะชิโระ นะกะมะสึ (Yoshiro Nakamatsu)
คนที่ 2 โยะชิโระ นะกะมะสึ (Yoshiro Nakamatsu)
คนนี้ คือผู้คิดค้น แผ่นดิสก์แบบอ่อน หรือ ฟลอปปีดิสก์ (Floppy Disk) หรือเรามักนิยมเรียกว่า แผ่นดิสก์ หรือ ดิสเกตต์ อุปกรณ์เก็บข้อมูลที่ไม่ค่อยได้เห็นแล้วในสมัยนี้ ไม่รู้ว่า…ใครทันได้ใช้บ้างไหมคะ (ขุดความแก่มาโชว์กันอีกแล้ว อิอิ) สำหรับนิสัยสุดแปลกของ โยะชิโระ ก็คือในแต่ละเย็น เขามักจะพักผ่อนด้วยการเข้าไปอยู่ในห้อง Calm Room ที่อลังการงานสร้างมากๆ ทำด้วยทอง 24 กะรัต (โอ้ว มายก็อต) โดยเขาให้เหตุผลว่า ทองจะช่วยป้องกันคลื่นวิทยุและสัญญาณทีวีได้ ดังนั้น มันจึงทำให้จินตนาการของเราโลดแล่นยิ่งขึ้น
11 นิสัยสุดแปลก ของคนดังระดับโลก (1)
มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg)
ต่อมาคนที่ 3 มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg)
เชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จัก เล่น Facebook กันทั่วประเทศขนาดนี้ เพราะเขาก็คือ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอเฟสบุ๊ค โดยนิสัยส่วนตัวของ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ก็คือเขาชอบทำสิ่งท้าทายใหม่ๆ ทุกปี ตั้งแต่การเรียนภาษาจีน ไปจนกระทั่งการกินแต่เนื้อสัวต์ที่ตัวเองฆ่าเท่านั้น เพราะเขามักใช้เวลาแทบทั้งหมดไปกับการทำเฟสบุ๊ค ดังนั้น ความท้าทายเหล่านี้จึงถือเป็นโอกาสที่ดี ซึ่งปกติแล้วเขาไม่เคยได้รับ
11 นิสัยสุดแปลก ของคนดังระดับโลก (2)
เจฟฟ์ เบโซส์ (Jeff Bezos)
คนที่ 4 เจฟฟ์ เบโซส์ (Jeff Bezos)
เขาคนนี้คือ ซีอีโอและผู้ก่อตั้งเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ Amazon ค่ะ สำหรับนิสัยแปลกแตกต่างของเขา ก็คือ ชอบการทำงานคิดไว้ล่วงหน้า เพราะเขาหวังว่า สิ่งที่จะได้รับคือขีดความสามารถใหม่ๆ โดยไม่ต้องไปแคร์ว่ามันจะยากลำบากในขั้นแรก
11 นิสัยสุดแปลก ของคนดังระดับโลก (7)
นิโคลา เทสลา (Nikola Tesla)
คนที่ 5 นิโคลา เทสลา (Nikola Tesla)
ผู้คิดค้น AC Electric System โดยเขาคนนี้มีนิสัยแปลกแต่ดี ตรงที่ เขามักจะฝึกซ้อมควบคุมการสูบบุหรี่ การดื่ม และการกินอาหาร อย่างระมัดระวัง เพราะเขาคิดว่า คนส่วนใหญ่มักถูกกลืนกินจากการไตร่ตรองใคร่ครวญเรื่องราวภายนอกมากจนเกินไป จนอาจหลงลืมสิ่งที่ผ่านเข้ามาภายในตัวพวกเขาเอง
จอห์น ซี เฮฟเว่น (John C. Havens)
จอห์น ซี เฮฟเว่น (John C. Havens)
คนที่ 6 จอห์น ซี เฮฟเว่น (John C. Havens)
ผู้ก่อตั้ง H(App)athon Project ค่ะ เขาคนนี้ชอบมีนิสัย แจกแจงสิ่งต่างๆ ในชีวิตด้วยเครื่องมือและแอพลิเคชั่น เพื่อความเข้าใจกลไกแห่งความสุข (คนแบบนี้ก็มีด้วยอ่ะ)
เควิน ซิสตรอม (Kevin Systrom)
เควิน ซิสตรอม (Kevin Systrom)
คนที่ 7 เควิน ซิสตรอม (Kevin Systrom)
ผู้ก่อตั้ง app ยอดฮิต Instagram เพื่อนๆ รู้ไหมคะว่าทำไมเขาถึงคิดสร้าง Instagram ขึ้นมา นั้นก็เพราะว่า กล้องคือสิ่งมีค่าที่สุดสิ่งหนึ่งในชีวิตเขม เขามีนิสัยรักหรือเรียกว่า บ้าการถ่ายภาพรูปทุกๆ คริสต์มาส มาก่อน และปัจจุบันก็ยังคงรักการถ่ายภาพอยู่เสมอ จึงทำให้เขาเข้าใจและสร้าง App ออกมาได้โดนใจนักถ่ายภาพเป็นอย่างดี
11 นิสัยสุดแปลก ของคนดังระดับโลก (12)
ชิเงะรุ มิยะโมะโตะ (Shigeru Miyamoto)
คนที่ 8 ชิเงะรุ มิยะโมะโตะ (Shigeru Miyamoto)
เขาคนนี้ไม่น่าเชื่อว่า จะเป็นผู้ดีไซเนอร์เกมส์ในตำนานแห่ง Nintendo ได้ เพระานิสัยสุดแปลกที่เขาชอบทำบ่อยๆ ก็คือ การวัดความยาวสิ่งของต่างๆ อยู่เป็นประจำ “ผมมักจะสนุกกับการคาดเดาความยาวของวัตถุ นี่จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมผมถึงพกสายวัดติดตัวตลอดเวลา”
สตีฟ จอบส์ (Steve Jobs)
สตีฟ จอบส์ (Steve Jobs)
คนที่ 9 สตีฟ จอบส์ (Steve Jobs)
ผู้คิดค้น และอดีตซีอีโอ Apple ที่ได้ล่วงลับไปแล้ว แต่หลายคนก็ยังจดจำ คำพูดต่างๆ ของเขาได้ดี “หากคุณพยายามที่จะออกแบบคอมพิวเตอร์สักเครื่อง คุณจะต้องให้ตัวเองจมอยู่กับรายละเอียดต่างๆ เป็นพันๆ จุด และทันใดที่มันถูกคิดไตร่ตรองออกมาได้มากพอ นั่นแหละเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี มันคือประสบการณ์ที่มีท่วงทำนองจังหวะ เป็นประสบการณ์ที่ทุกๆ สิ่งเชื่อมโยงกันเป็นประสบการณ์ที่เปราะบางละเอียดอ่อน ซึ่งช่างเหมือนกับดนตรีเหลือเกิน” ว้าวช่างล้ำลึกทางความคิด
Anna Akbari
Anna Akbari
คนที่ 10 Anna Akbari
คราวนี้เป็นผู้หญิงกันบ้าง เธอคือผู้ก่อตั้ง Sociologyofstyle.com ค่ะ เป็นเรื่องปกติที่นิสัยของผู้หญิงต้องห่วงเรื่องการทานอาหารเป็นหลัก และเธอคิดว่าการกินอาหารเช้ากับอาหารกลางวันเหมือนกันทุกวันเสมอ “ยิ่งตัวเลือกมาก ยิ่งต้องการพลังงานและมันจะทำให้เราหลุดโฟกัสจากสิ่งอื่นที่สำคัญกว่า ตัวเลือกที่มากยิ่งทำให้เกิดความวิตกกังวลในการเลือกตัวเลือกที่ถูกต้อง” เป็นแนวคิดที่เปรียบเทียบกับการทานอาหารทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นเยอะเลยจริงไหมครับ
Joel Gascoigne
Joel Gascoigne
สุดท้ายคนที่ 11 Joel Gascoigne
ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ Buffer โดยนิสัยของเขา เขามักจะตัดสินใจโดยปราศจากความมั่นใจที่สมบูรณ์ โดยเขาจะเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า ไม่ควรให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย แม้ว่าประสบการณ์ส่วนใหญ่ของผู้ประกอบการจะต้องใช้ความคิดที่สดใหม่อยู่เสมอ สำหรับการลงทุนธุรกิจใหม่ๆ ก็ตาม
ทั้งหมดนี่ก็เป็นเพียงตัวอย่างของผู้ประสบความสำเร็จของเมืองนอก ที่มีนิสัยและแนวทางแปลกๆ แต่เจ๋งสุดๆ เพียงบางส่วนเท่านั้นนะคะ แต่จริงๆ แล้วยังมีอีกหลายท่านมากมาย อย่างในเมืองไทยบ้านเราเอง ก็มีผู้ประสบความสำเร็จและเก่งไม่แพ้กัน จากจุดเล็กๆ ในวันวาน สู่ผู้บริหารหรือเจ้าของกิจการชื่อดัง (สุดยอด) ยกตัวอย่างเช่น
1. คุณตัน ภาสกรนที ผู้ทำธุรกิจเครื่องดื่มชาเขียว  จนได้เข้าตลาดหลักทรัพย์ เพียงไม่กี่ปี
2. คุณต๊อบ เถ้าแก่น้อย จากวัยรุ่นที่หมกหมุ่นเล่นเกมส์ หันมาจับธุรกิจตั้งแต่ยังหนุ่ม จนสาหร่ายเถ้าแก่น้อยได้รับความนิยม
3.  นักธุรกิจสาว อายุน้อย คุณเมย์ เจ้าของร้านเบเกอร์รี่  After you จากนิสัยที่เริ่มจากการชอบทานขนม และไม่หยุดคิดที่จะทำธุรกิจต่อยอดจนได้รับความนิยมอย่างมาก
4. คุณออม ดิษยา ดีไซเนอร์สาวไทยเจ้าของแบรนด์ Disaya  ที่สร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในระดับอินเตอร์ตั้งแต่ปี 2006

Credit:clipmass

เป็นไงบ้างครับกับแนวคิด แปลกๆจากผู้สร้างนวัตกรรมและนักคิด กับแนวคิดที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน กับนิสัยสุดแปลกของคนดังระดับโลก 11 นิสัย บางอย่างเราสามารถนำมาปรับใช้กับเราได้นะครับ เรื่องราวและแนวคิดของแต่ละคนมีความแตกต่างแต่ด้วยความแตกต่างนี้เองจึงทำให้ก่อเกิดเรื่องใหม่ๆ หวังว่าเรื่องราวต่างๆจะเป็นประโยชน์กับทุกคนนะครับแล้วพบกันใหม่กับ
 MySimpleDiary ชีวิตง่ายๆแค่คิดบวก สวัสดีครับ

วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2557

35 เทคนิคโดนใจสำหรับนักเดินทางตัวยง

สวัสดีครับผม วันนี้ผมก็มีบทความดีๆที่น่าจะเป็นประโยชน์กับนักเดินทางนะครับเหมาะสำหรับเพื่อนๆคนไหนที่ชอบเดินทาง บทความนี้จะเป็นบทความที่มีประโยชน์มากสำหรับเพื่อนๆ โดยจะเป็น เคล็ดลับดีๆ 35 ข้อเกี่ยวกับการเดินทางที่น่าสนใจ ที่จะทำให้การเดินทางสะดวกและง่ายขึ้นอีกเยอะเลยครับลองรับชมนะครับผม

1. ใช้หน้าต่างแบบไม่ระบุตัวตน (Incognito) เวลาจองตั๋วเครื่องบิน เนื่องจากเว็บจองตั๋วส่วนใหญ่จะจดจำข้อมูลการเยี่ยมชม และราคาจะสูงขึ้นทุก ๆ ครั้งที่เราเข้าไปเสิร์ชหาราคาในเว็บไซต์
tv1

2. เก็บสายไฟและหูฟังอย่างเป็นระเบียบในกล่องใส่แว่น
tv2

3. ใช้หลอดดูดทำที่ใส่ครีมแต่งหน้า รวมไปถึงเครื่องปรุงต่างๆในปริมาณที่พอเพียงสำหรับการเดินทาง โดยการใช้ไฟแช็กลนที่หลอดให้มันละลายติดกัน
tv3

4. เอากระดาษแผ่นปรับผ้านุ่ม ใส่ไว้ก้นกระเป๋าให้เสื้อผ้าหอม ๆ
tv4

5. เอาสปริงจากปากกาที่ไม่ใช้แล้วมาใส่ที่ขั้วสายไฟ สายจะได้ไม่ขาดหรือหักงอ
tv5

6. อย่าเสียเวลาต่อแถวนานหน้าห้องน้ำที่สนามบิน โดยส่วนใหญ่ห้องน้ำแรกในสนามบินจะแน่นที่สุด ถ้าเดินไปเรื่อย ๆ จะเจอห้องน้ำที่สะอาดและโล่งกว่ามาก
tv6

7. ใช้ตัวหนีบดำปกป้องหัวมีดโกน
tv7

8. ถ้าลืมเอาสายชาร์จแบบหัวปลั๊กมา ให้ต่อสายกับที่เสียบ USB ที่ทีวีเอานะ
tv8

9. ม้วนเสื้อแทนการพับเพื่อเป็นการประหยัดพื้นที่
tv9

10. ถ้ามีเสื้อผ้าที่จำเป็นต้องพับ รองด้วยกระดาษทิชชูกันยับก่อนหนึ่งชั้น
tv10

11. ใช้กล่องเก็บยาใส่เครื่องประดับไม่ให้หายหรือพันกัน
tv11

12. สแกนเอกสารสำคัญเก็บไว้ก่อนออกเดินทาง บางครั้งแค่ถ่ายเอกสารอาจจะไม่พอ ให้สแกนเป็นไฟล์ให้ชัดแล้วส่งอีเมลหาตัวเอง หรือใส่ไว้ใน Cloud เพื่อให้เรียกใช้ได้ง่ายผ่านมือถือก็ได้
tv12

13. เก็บสบู่ก้อนไว้ในกระเป๋าผ้าขนหนู ใช้เป็นที่ขัดขี้ไคลได้อีกด้วย
tv13

14. หมวกคลุมอาบน้ำเป็นทางเลือกที่ดีในการป้องกันเสื้อผ้าเปื้อนพื้นรองเท้า
tv14

15. เปิดมือถือเป็น Airplane Mode เพื่อประหยัดแบตฯ และทำให้ชาร์จเต็มเร็วขึ้นด้วย
tv15

16. เก็บหูฟังกับตัวไว้ให้เรียบร้อยด้วยคลิปหนีบแบบนี้ เอาไปหนีบไว้กับสายกระเป๋าหรือเสื้อได้ด้วย
tv16

17. ใส่กิ๊บดำไว้ในกล่องลูกอมที่ไม่ใช้แล้ว
tv17

18. ม้วนเข็มขัดใส่ไว้ตรงคอปกเสื้อเพื่อกันยับ
tv18

19. นั่งบริเวณปีกเครื่องบินเพื่อลดปัญหาจากความกดอากาศ เครื่องบริเวณปีกจะส่ายน้อยกว่า เพราะมีโครงสร้างมาค้ำจุนมากกว่าส่วนอื่นในเครื่องบิน
tv19

20. เก็บภาชนะใส่ของสำหรับการเดินทางเอาไว้ แล้วใช้เติมเอาแทนที่จะต้องซื้อใหม่ทุกครั้ง
tv20

21. ใช้ Google Maps แบบออฟไลน์ได้โดยการพิมพ์ “OK Maps” เราจะเรียกรูปแผนที่ขึ้นมาดูได้ แม้ไม่มีเน็ตใช้
tv21

22. แทนที่จะต้องซื้อน้ำราคาแพงที่สนามบิน ให้เอาขวดเปล่าหรือกระติกไป และค่อยเติมใหม่หลังผ่านจุดเช็กแล้ว
tv22

23. หากเดินทางไปกับเพื่อน 2 คน โดยเครื่องบินลำใหญ่แบบริมหน้าต่าง 3 ที่นั่ง ให้คนหนึ่งจองริมหน้าต่าง อีกคนริมทางเดิน หากไม่มีใครนั่ง จะได้ใช้พื้นที่ตรงกลางได้ หรือถ้ากรณีที่มีคนนั่งก็ค่อยขอเปลี่ยนที่เอา
tv23

24. กลับสูทหรือโค้ทข้างในออกข้างนอกเวลาแพ็ก เสื้อจะได้ไม่เปื้อนและเป็นรอยพับ
tv24

25. ให้คอยซื้อตั๋วเครื่องบินเวลาบ่าย 3 ของวันอังคาร ตามปกติแล้วนี่จะเป็นช่วงเวลาที่สายการบินใหญ่ ๆ ลดราคาลงเพื่อสู้กับสายการบินราคาถูก อันนี้ไม่แน่ใจว่าเป็นแบบนี้ทั่วโลกหรือเฉพาะอเมริกานะครับ
tv25

26. ป้องกันของเหลวหกเลอะเทอะด้วยแรปห่ออาหาร ให้เปิดฝาออกมาก่อน แล้วเอาพลาสติกห่ออาหารมาปิดก่อนรอบหนึ่งแล้วค่อยใส่ฝาเข้าไปใหม่ จะได้ไม่ต้องคอยห่วงเรื่องของหกเลอะเทอะในกระเป๋าเดินทาง
tv26

27. หารหัส Wi-Fi ได้เกือบทุกที่โดยการเข้าไปดูส่วนของคอมเมนต์ใน Foursquare
tv27

28. ใช้ GPS เวลาเดินทางต่างประเทศ ถ้าเดินทางนอกประเทศโดยไม่ใช้เน็ต ให้เปิดเป็น Airplane Mode และใช้ GPS แบบออฟไลน์ ให้โหลดกูเกิลแมพของสถานที่เอาไว้ก่อนออกจากโรงแรม และคุณจะได้แผนที่ที่ใช้งานได้จริงในการเดินทาง
tv28

29. หากลืมเอาที่ชาร์ตมาจากบ้าน บางครั้งโต๊ะรีเซฟชั่นในโรงแรมจะมีชาร์จเจอร์มากมายหลายรุ่นให้ยืมใช้ จากแขกคนก่อน ๆ ที่ลืมเอาไว้ที่โรงแรม
tv29

30. ไม่ต้องรอกระเป๋านานอีกต่อไป การติดป้ายกระเป๋าว่า Fragile ไม่เพียงแต่จะทำให้ของถูกหยิบจับอย่างระมัดระวังเท่านั้น ของที่มีป้ายนี้จะเป็นสัมภาระชุดแรกที่ได้ออกจากเครื่องมาที่สายพานรับของอีกด้วย
tv30

31. ประหยัดเวลาหากต้องย้ายที่ในเวลาอันรวดเร็ว ที่จัดระเบียบกระเป๋าช่วยย่นระยะเวลาเก็บของได้มาก สมัยนี้มีขายหลายแบบหลากสีและราคาไม่แพงอีกด้วย เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับนักเดินทางยุคใหม่
tv31

32. ไม่ต้องง้อ Wi-Fi แพง ๆ ที่สนามบินอีกต่อไป เพียงแค่พิมพ์ ?.jpg เข้าไปหลัง URL ก็สามารถเข้าได้ทุกเว็บที่เราต้องการแล้ว
tv32

33. เพื่อเรียกคะแนนป๊อปปูลาร์ให้ตัวเอง ให้พกปลั๊กพ่วงใส่กระเป๋าไปด้วย
tv33

34. ในวันสุดท้ายที่ต่างประเทศ ให้รวบรวมเศษเอาไปบริจาคหรือซื้อขนมแจกเด็กๆในพื้นที่ เนื่องจากถ้านำกลับไทย ธนาคารก็ไม่รับแลกเหรียญอยู่แล้ว ที่สำคัญการให้คือสิ่งที่สำคัญที่สุด
tv34

35. สิ่งที่สำคัญที่สุดในทั้งหมด…อย่าหยุดเดิน เพราะชีวิตคือการเดินทางและการเรียนรู้ครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก: Show Me The Wonder

 เป็นไงกันบ้างกับเทคนิค เด็ดๆ 35 เทคนิคดีๆ ที่เหมาะกับนักเดินทาง ผมหวังว่าทุกท่านจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ แล้วพบกันใหม่กับ MySimpleDiary ชีวิตง่ายๆแค่คิดบวก สวัสดีครับ

วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2557

โปรเจ็กใหม่ของ Google Project Loon โปรเจ็คยักษ์ใหญ่ เพื่อโลกไร้พรหมแดน

วันนี้ผมไปเจอหัวข้อโปรเจ็คของ Google โปรเจ็กนี้น่าสนใจมากๆเลยครับกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไร้สายจากบอลลูน ที่ท่องไปตามระหว่างเส้นขอบโลก และจักรวาล ผมว่ามันน่าสนใจมากๆเลยครับ ทำให้ทั่วทุกที่สามารถเช่อต่อกันได้อย่างไร้พรมแดนเป็นหัวข้อที่ผมว่าในอนาคตเกิดขึ้นจะเป็นประโยชน์กับคนมากมายเลยครับ ลองรับชมข้อมูลนะครับผม

GOOGLE PROJECT LOON
วันนี้ 65blogs ขอนำเสนอสุดยอดแนวคิดเพื่อชีวิตของชาวโลกในยุคไร้สาย ที่สุดยอดเยี่ยมจากพี่ใหญ่ Google อันมีชื่อโครงการว่า “ลูน (Loon)” ซึ่งนับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งโครงการที่เกิดจากการเสียสละ และใช้แรงงาน แรงใจอย่างมากมายจากทีมงาน Google นั่นเอง
วัตถุประสงค์ที่สำคัญของ Project Loon นี้ชัดเจนมาก กล่าวคือการกระจายสัญญาณไวไฟ (Wifi) ให้ผู้คนในสถานที่ต่างๆนั้นสามารถเข้าถึงโลกอินเทอร์เน็ตได้อย่างอิสระปราศจากข้อผูกมัด หรือค่าธรรมเนียมใดๆ ผ่านทางเครือข่ายที่สร้างจากบอลลูนลูกนั้นๆเอง 
รับชมวิดีโอด้านล่างกันครับ ว่า Project Loon  คืออะไร

INTRODUCTION TO GOOGLE PROJECT LOON
http://www.youtube.com/watch?v=m96tYpEk1Ao


LOON PROJECT คืออะไร

ทีมงาน Google  เล็งเห็นว่าอินเทอร์เน็ทนั้นเปรียบดังสังคมที่เปิดกว้างขนาดใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามพี่น้องร่วมโลกในประเทศที่ 2 และ 3 (two-thirds of the world) ยังคงไม่สามารถเข้าถึง หรือใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ Project Loon จึงถือกำเนิดขึ้น เพื่อเป็นดังเครือข่ายอินเทอร์เน็ท ที่เดินทางไปตามเส้นขอบฟ้า ลูนถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถควบคุมระยะไกลได้ ง่ายต่อการครอบคลุมพื้นที่ต่างๆ ซึ่งแม้จะลำบาก อันตราย หรือแล้งแค้นเพียงใดก็ยังคงไปถึงนั่นเอง.
ballon power internet for everyone Google Project Loon โปรเจ็คยักษ์ใหญ่ เพื่อโลกไร้พรหมแดน

เทคโนโลยีของ “LOON”

บอลลูนในโครงการลูน ลอยอยู่ในชั้นบรรยากาศ สตราโตสเฟียร์ (stratosphere) ซึ่งสูงเป็นสองเท่าของความสูงระดับอากาศยาน อย่างที่เครื่องบินนั้นบินกัน และสูงกว่าสภาพความกดอากาศต่างๆอีกด้วย ในชั้นบรรยากาศสตราโตเฟียร์นั้น จะมีประเภทลมอยู่หลายระดับ แต่ละระดับของลมประเภทต่างๆนั้นมีความแตกต่างกันทั้งในด้านทิศทาง และความเร็ว บอลลูน Loonใช้วิธีการฟลักด้วยความดันให้ลอยขั้นไป เพื่อเข้าสู่ระดับความเร็วมลม และทิศทางที่ต้องการในชั้นบรรยากาศดังกล่าว หรือในระดับอากาศที่ต้องการ เพื่อลอยล่องไปในที่ต่างๆตามที่ได้มีการคำนวณไว้ ผู้คนจะสามารถเข้าเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ทได้จากทางสัญญาณที่ส่งออกจากเสาอากาศกระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ทชนิดพิเศษ (Special Internet Antenna) ซึ่งจะกระจายออกจากบอลลูน และตกลงสู่ระดับพื้นผิวโลกนั่นเอง ภาพตัวอย่างด้านล่าง  แสดงการกระจายสัญญาณของบอลลูน Loon ที่ตกกระทบลงสู่พื้นผิวโลก
illustration howitworks Google Project Loon โปรเจ็คยักษ์ใหญ่ เพื่อโลกไร้พรหมแดน

บอลลูน LOON โบยบินได้อย่างไรกันนะ?

illustration navigation Google Project Loon โปรเจ็คยักษ์ใหญ่ เพื่อโลกไร้พรหมแดน

ที่มาของโครงการลูน

โครงการลูน (Project Loon) เริ่มต้นขึ้นในเดือนมิถุนายน ปี 2013 โดยเริ่มทำการทดสอบนำร่อง (Pilot test) ที่ประเทศนิวซีแลนด์ สถานที่ซึ่งเป็นที่อยู่ทีมงานกลุ่มเล็กๆกลุ่มหนึ่ง ได้เริ่มทำการพัฒนาเทคโนโลยีลูน ดังกล่าวนั่นเอง และในที่สุดก็ได้แปรเปลี่ยนมาเป็นงานวิจัยที่ถูกผลักดัน และได้เข้ามาทดสอบการบินต่อในหุบเขามลรัฐแคลิฟอเนียร์ (California’s Central Valley)
where loon has been Google Project Loon โปรเจ็คยักษ์ใหญ่ เพื่อโลกไร้พรหมแดน

การทดสอบนำร่องที่นิวซีแลนด์


พอล หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการ (OPERATIONS TEAM LEAD) กับบอลลูนสีแดงเพื่อทดสอบความเร็ว และทิศทางลม

google loon project red souding balloon for tersting Google Project Loon โปรเจ็คยักษ์ใหญ่ เพื่อโลกไร้พรหมแดน

ก่อนทดสอบ บอลลูนทุกใบต้องทำการเตรียมการอย่างดี

google loon project ballon technique Google Project Loon โปรเจ็คยักษ์ใหญ่ เพื่อโลกไร้พรหมแดน

ครอบครัวนิมมี่ (NIMMY FAMILY) ครอบครัวแรกที่ได้รับสัญญาณอินเทอร์เน็ทจากบอลลูน

the nimmo family was the first to connect to balloon powered internet Google Project Loon โปรเจ็คยักษ์ใหญ่ เพื่อโลกไร้พรหมแดน

เจ้าหนูน้อยอายุ 2 เดือน ผู้ร่วมทดสอบอายุน้อยที่สุด

our youngest pilot tester was just a few months old Google Project Loon โปรเจ็คยักษ์ใหญ่ เพื่อโลกไร้พรหมแดน

ลูนจะไปไหนบ้างนะ

จากจุดเริ่มต้นเมื่อปี 2013 ที่ทางใต้ของประเทศนิวซีแลนด์ สถานที่กำเนิดลูน ซึ่งผ่านการทดสอบนำร่องมาอย่างมากมาย จากคนกลุ่มเล็ก จนกลายเป็นกลุ่มที่ใหญ่ และใหญ่ขึ้นจากความร่วมมือของอาสาสมัครทุกคน การทดสอบจะเป็นไปอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2014 เพื่อเป้าหมายเพียงอย่างเดียวเพียงตอนนี้คือการใช้งานจริง โดยการเชื่อมต่อแบบเครือข่ายในลักษณะแบบวงแหวน (Ring) เพื่อกระจายสัญญาณให้กว้างใหญ่ขึ้น เพื่อผู้คนในโลกยุคไร้พรหมแดนต่อไป!
seq 91 Google Project Loon โปรเจ็คยักษ์ใหญ่ เพื่อโลกไร้พรหมแดน
ยังมีเรื่องราวดีดีให้ค้นหา และสาระอีกเยอะแยะมากมายที่ Google Loon Project ลองไปรับชมกันครับ

google project loon loon for all Google Project Loon โปรเจ็คยักษ์ใหญ่ เพื่อโลกไร้พรหมแดน
Credit:65blogs

เป็นไงกันบ้างครับกับข้อมูล ผมว่าเป็นนวัตกรรมที่จะเปลี่ยนโลกไปอีกโฉมหน้านึงเลยครับ ถ้าใครอยากเป็นผู่ร่วมทดสอบก็สามารถเข้าไปสมัครได้นะครับ กับโปรเจ็ค loon ของ google ก็ขอขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะครับ แล้วพบกันใหม่ครับกับ MySimpleDiary ชีวิตง่ายๆแค่คิดบวก สวัสดีครับ

วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เหตุผลที่กูเกิล (Google) ไม่รับเด็กจบใหม่ !

เคยสงสัยกันไหมครับ จบใหม่ๆ เครื่องกำลังร้อน ความรู้พร้อมเต็มที่ แต่พอไปสมัครทำไม เขาไม่รับเพราะอะไรอ่า เกรดก็สวย กิจกรรมก็ทำบ้าง การบ้านไม่เคยขาด ประวัติสวย แต่ทำไมเค้ายังไม่มองเรา
วันนี้ผมไปเจอบทความนี้มาผมว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ลองรับชมกันดูครับ ว่าทำไม Google ถึงรับเด็กจบใหม่


    บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง Google แค่ฟังชื่อก็น่าเข้าทำงานแล้ว อีกทั้งนักศึกษาหลายคนก็อยากจะเข้ามาทำงานที่นี่ด้วยเช่นกัน หลายคนมีความหวังตั้งใจเรียนในสถานที่ศึกษาที่มีชื่อเสียงบ้าง แถมบางคนได้เกรดดีซะด้วย แต่ฝันของหลายคนต้องสลายไปเมื่อ! Google ไม่รับนักศึกษาจบใหม่ จบจากสถาบันมีชื่อ เกรดสวย นั่นเป็นเพราะอะไร ตามผมเข้าไปอ่านหาคำตอบกันได้เลยครับ
    เรื่องราวนี้ถูกเปิดเผยจากบทสัมภาษณ์ระหว่าง Tom Friedman (New York Times) และ Laszlo Bock (Head of People Operations, Google Inc.)คงเป็นความพลิกล็อกใหญ่หลวง เมื่อบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง Google ที่ใครๆก็คิดว่า จะต้องพิถีพิถันในการคัดเลือกคนเข้าทำงาน ที่ต้องจบการสถาบันการศึกษาที่ดี เกรดหรูๆ?แต่ในความเป็นจริงแล้ว Google บอกว่า คนเหล่านั้น เป็นชุดๆแรกที่อาจจะเขี่ยทิ้ง ไม่พิจารณามารับเข้าทำงานด้วยซ้ำ ผ่าง!

Laszlo Bock (Head of People Operations, Google Inc.)

เด็กจบสถาบันมีชื่อ มักจะขาดความนอบน้อม

    เด็กที่จบโดยได้ A มาเยอะ ก็จะเชื่อมั่นในความสามารถตนเอง มากกว่าจะรับฟังคนอื่น ซึ่ง Google มักจะย้ำว่า เราต้องการให้รับฟังคนรอบข้าง และคิดเสมอว่า อาจจะมีไอเดียอื่นที่มักจะดีกว่าเราคิดเองการขาดการนอบน้อมนั้นทำให้เราตัดโอกาสการเรียนรู้บางทีเขามุ่งมั่นกับการที่ต้องสำเร็จ จนไม่คิดถึงการ ล้มเหลว ที่สวยงาม เพราะการล้มเหลวก็จะทำให้เรียนรู้ได้เช่นกัน?การที่มองแต่ผลสำเร็จของตนเอง จึงมักจะมีการรับความดีเข้าตัว เพราะฉันเก่ง แต่เมื่อผิดพลาด เพราะคนรอบข้างฉันมันงี่เง่า


การเรียนรู้สำคัญกว่า IQ

    แต่เดิมที่ได้มีการพูดถึง คนฉลาดอาจจะอยู่ในสังคมไม่ได้ถ้าเขาไม่มี EQ แต่ Google เชื่อว่า การเรียนรู้จากคนรอบข้างก็สำคัญไม่แพ้กัน (ซึ่งก็ทับซ้อนกับ EQ ในบางประเด็น) ในการสัมภาษณ์สมัครงาน เราจะถามว่า ในอดีตมีสถานการณ์ที่ลำบากใจหรือเปล่า แล้วเขาแก้ปัญหานั้นได้อย่างไร
    ฟังอย่างนี้แล้ว ต้องบอกว่า ขนาดบริษัทยักษ์ใหญ่ Google ก็มีการคัดเลือกคนที่ เนื้อแท้ มากกว่าเพียงแค่ชื่อสถาบัน ซึ่งคาดว่า บริษัทต่างๆก็อาจจะกำลังคิดเหมือนๆกันก็ได้ ใครที่กำลังเรียนจบต้องหมั่นทบทวนตัวเองด้วย ถ้าไม่นอบน้อม เชื่อมั่นในความสามารถมากเกินจะหางานลำบากนะ

Credit:flagfrog

เหตุผลเหล่านี้นี่เอง อืมมม ผมว่าเราต้องปรับตัวนะครับ ความสามารถพร้อมแต่เราอาจจะต้องรับฟังความคิดเห็นของคนรอบข้าง อะไรที่ดีสามารถทำแล้ว เกิดอะไรที่ดีขึ้น ผมว่าเราควรรับฟังแล้วนำมาปรับปรุงเพื่อให้ได้ผลรับที่ดีกว่ามันก็คุ้มนะครับ ผมหวังว่าเรื่องนี้จะเป็นตัวช่วยคนที่ฝันไว้ว่า วันหนึ่งจะไปเป็น หนึ่ง ใน Google นะครับผม แล้วพบกันใหม่นะครับกับ MySimpleDiary ชีวิตง่ายๆแค่คิดบวก สวัสดีครับ