วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557

พบกับ 10 ผลผลิตจาก "ฉี่" รู้แล้วจะต้อง อึ้ง!



วันนี้มาพบกับของเหลวสีเหลืองอ๋อยที่ใครต่างพากันส่ายหน้า แต่ใครจะรู้ล่ะว่ามันมีคุณสมบัติเพียบ อย่างที่คุณก็คาดไม่ถึง มาลองดูกันว่ามันมีประโยชน์อย่างไรบ้าง

10. ฟอกหนัง
ฉี่ 100 ซีซีประกอบไปด้วยน้ำถึง 95% ยูเรีย 2.5% และสารอื่นๆ อีก 2.5 % ซึ่งฉี่จะมีความเป็นกรดสูงและมีความเป็นเบสต่ำ ทำให้มันสามารถยับยั้งจุลินทรีย์ ดังนั้นมันจึงเหมาะสำหรับใช้ในการชะลอสารจุลินทรีย์ต่าง ๆ และฟอกหนัง นอกจากนี้ยังสามารถกำจัดขน และผิวหนังที่ไม่ต้องการให้หลุดออกได้อย่างง่ายๆ โดยไม่ต้องออกแรงให้เสียเวลา

9. ซักผ้า
ทีนี้เราก็ไม่ต้องง้อผงซักฟอกกันอีกต่อไป ในเมื่อฉี่สามารถนำมาซักผ้าได้ โดยสารแอมโมเนียในฉี่มีคุณสมบัติในการขจัดคราบ สิ่งสกปรก และไขมัน แถมยังเป็นส่วนผสมสำคัญที่พบในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอีกต่างหาก ซึ่งชาวโรมในสมัยก่อนก็ใช้ฉี่นี่แหละมาซักผ้า โดยใช้เรือตระเวนเก็บฉี่ของชาวบ้านที่วางตามถนนเพื่อนำมาซักผ้าโดยเฉพาะ...คราบอาจจะหายแต่ไม่รู้ว่ากลิ่นนี่จะติดอยู่หรือเปล่า

8. ทำดินปืน
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าฉี่เนี่ยแหละ สามารถนำมาทำดินปืน ให้กลายเป็นดินประสิวส่วนประกอบหลักในการทำระเบิด โดยแอมโมเนียจากฉี่จะทำปฏิกิริยากับออกซิเจนจนกลายสภาพเป็นไนเตรท และเมื่อมาผสมกับผงถ่าน และกำมะถัน เท่านั้นแหละจากฉี่ไร้ค่า ก็กลายเป็นระเบิดตู้มต้ามได้ในทันใด

7. แปรงฟัน
ชาวอียิปต์โบราณ และโรมัน คนกลุ่มแรกที่ค้นพบวิธีการต่างๆ เพื่อฟันขาวสะอาดสดใส ซึ่งวิธีที่พวกเขาค้นพบก็หนีไม่พ้นฉี่อีกนั่นแหละ โดยมีทั้งผลิตภัณฑ์ยาสีฟันที่ใช้รากไม้แทนแปรง และน้ำยาบ้วนปากไว้กลั้วคอเพื่อความสะอาดที่ดียิ่งกว่า 

6. ปลูกฟัน
สุดเซอร์ไพรส์เมื่อฉี่สามารถปลูกฟันได้ โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวจีนนำสเต็มเซลล์จากฉี่มาปลูกฟันกรามให้กับมนุษย์ได้สำเร็จ อีกทั้งในวารสาร Stem Cells ยังถือว่าสเต็มเซลล์จากฉี่คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับการฟื้นฟูเนื่องจากไม่มีคุณสมบัติเป็นเนื้องอกเหมือนกับสเต็มเซลล์ชนิดอื่นๆ

5. ผลิตไฟฟ้า
ถึงกับต้องเบิกตาเมื่อนักฟิสิกส์ชาวสิงคโปร์ประสบความสำเร็จ ในการคิดค้นแบตเตอรี่กระดาษขนาดเท่าบัตรเครดิตโดยใช้ฉี่เป็นแหล่งกำเนิดไฟฟ้า ซึ่งสามารถผลิตไฟฟ้าได้สูงถึง 1.5 โวลต์ และสูงสุดถึง 1.5 มิลลิวัตต์ โดยหยดฉี่เพียงแค่ 0.2 มิลลิลิตร เท่านั้น นอกจากสิงค์โปร์ยังมีนักศึกษาชาวไนจีเรียหัวใส ที่แก้ปัญหาไฟฟ้าตกในพื้นที่บ่อยด้วยการสร้างเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้าจากฉี่ โดย 1 ลิตร ผลิตกระแสไฟฟ้าได้นานถึง 6 ชั่วโมง นับว่าเป็นไอเดียสุดเจ๋งในยุคต้องประหยัดแบบนี้ สงสัยประเทศไทยต้องลองแล้วมั้งเนี่ย

4. ย้อมผ้า
เคล็ดความสดใสในช่วงอุตสาหกรรมสิ่งทอเฟื่องฟู ของประเทศอังกฤษเมื่อปี 1500 โดยใช้ฉี่ในกระบวนการมัดย้อม โดยใช้สารยูเรียในฉี่เป็นตัวเพิ่มประสิทธิภาพ ให้สีที่ถูกย้อมบนผ้านั้นคงทนไม่ซีด และยังเพิ่มความสดใสให้กับเนื้อผ้าอีกด้วย

3. บำรุงผิว
ใครที่หน้ายับ หน้าพังเห็นแล้วเป็นต้องอึ้ง เมื่อฉี่สามารถนำมาบำรุงผิวได้เพียงแค่ล้างด้วยฉี่อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ทำให้ผิวเรียบเนียนแลดูอ่อนวัย นอกจากนั้นยังสามารถรักษาสิว ป้องกันผิวแห้งและอีกสารพัดประโยชน์ทั้ง แก้โรคผิวหนัง คัน กลาก เกลื้อน นำมานวดผม หนังศีรษะ เล็บมือ เล็บเท้า ยิ่งฉี่ที่ใช้นานเท่าไหร่ยิ่งได้ผลดีเท่านั้น แต่ก็ควรระวังเนื่องจากโพรงจมูกอาจจะพังซะก่อน จะจริงไม่จริงอย่างไรคงต้องมีการพิสูจน์ให้แม่นยำกว่านี้ อย่าได้สุ่มสี่สุ่มห้าพิสูจน์เองโดยเด็ดขาด เพราะผลที่ได้อาจไม่เป็นอย่างที่คิด

2. ทำปุ๋ย
ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอกเป็นต้องหลบ เมื่อพบกับฉี่ที่ส่งตรงจากท่อโดยไม่ต้องหมักให้เสียเวลา เพียงแค่ราดรดลงบนพืชที่ต้องการหลังจากนั้นมันก็จะเจริญเติบโตตามกระบวนการของมันเอง นอกจากนั้นยังมีคุณสมบัติป้องกันศัตรูพืชไม่ให้มารบกวน โดยไม่ทิ้งสารเคมีใดนอกจากฉี่ของคุณเอง... คงไม่ใช่แค่ศัตรูพืชที่หนีแล้วล่ะ ถ้ารดกันสดๆ แบบนี้คนก็คงไม่ไหวเหมือนกัน

1. ชาร์ตโทรศัพท์
อ้าปากค้างกันแถวเมื่อมหาวิทยาลัยบริสตอล และมหาวิทยาลัยเวสต์ ออฟ อิงแลนด์ ได้คิดค้นแบตเตอรี่พิเศษจากเชื้อจุลินทรีย์ ที่พอเติมฉี่ลงไปปุ๊ป พวกมันจะย่อยและปลดปล่อยส่วนประกอบของคลอไรด์ โซเดียม และโพแทสเซียมออกมา จากกระบวนการเมตาบอลิซึม ซึ่งสารเหล่านี้นี่แหละเป็นตัวก่อให้เกิดพลังงานไฟฟ้า จาการทดสอบมันสามารถทำให้โทรศัพท์ยี่ห้อหนึ่งสามารถโทรออก ส่งข้อความ และเล่นอินเทอร์เน็ตได้ในระยะเวลาหนึ่ง
ด้วยความคิดอันชาญฉลาดของมนุษย์ ได้เปลี่ยนสิ่งของไร้ค่าอย่าง “ฉี่” กลายเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ เผลอๆ อนาคตเราอาจได้เห็นฉี่วางขายเรียงรายกันทั่วโลกก็คงไม่แปลก

เป็นไงครับ เพิ่งรู้เลยเหมือนกันนะนี่ว่า เรื่อง 10 ผลผลิตจาก "ฉี่" รู้แล้วจะต้อง อึ้ง! มันมีประโยชน์แบบนี้นี่เองแล้วกลับมาพบกันใหม่กับ MySimpleDiary ชีวิตง่ายๆแค่คิดบวก สวัสดีครับ

วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2557

วิธีทำผัดหมี่เจ หรือ หมี่ซั่ว ทานเองได้ที่บ้านง่ายๆ

ผัดหมี่เจ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ หมี่ซั่ว


         ไหนๆก็เป็นช่วง เทศกาลเจมาถึงทีไร อาหารที่เรานึกถึงอย่างแรกคือ ผัดหมี่เจหรือหมี่ซั่ว กันใช่ป่าวคะ วันนี้ราเลยนำวิธีทำผัดหมี่เจมาฝากเพื่อนๆกันค่ะ วิธีทำก็ง่าย แถมวัสถุดิบก็หาซื้อได้ง่ายด้วยเช่นกัน  จะมีวิธีทำอย่างไร ไปดูกันเลย

อุปกรณ์

หมี่เหลือง
เต้าหู้แข็ง
ซีอิ้วขาว
แครอต
เห็ดหูหนู
เห็ดฟาง
สามารถใส่ผักที่ชอบได้ตามใจค่ะ เช่น กะหล่ำปลี ถั่วงอก ผักคะน้า

วิธีทำ ก็เพียงแค่นำหมี่เหลืองไปต้มจนเส้นสุกหรือนิ่ม ความนิ่มของเส้นก็แล้วแต่เพื่อนๆชอบเลยค่ะ จากนั้นนำขึ้นสะเด็ดน้ำแล้วนำไปผัดเติมรสชาติด้วยซีอิ้วขาว ใส่ผักที่เตรียมไว้ลงไปผัดตามหลัง เพียงเท่านี้คุณก็ได้ผัดหมี่เจ ทำทานเองที่บ้านได้ง่ายๆแล้ว

เป็นอย่างไรครับง่ายช่ายปะละ แล้วกลับมาพบกันใหม่นะครับกับ
 MySimpleDiary ชีวิตง่ายๆแค่คิดบวก สวัสดีครับ

เมื่อ 10 ประโยคเด็ด พลิกชีวิตของผู้ชายที่มีชื่อว่า "Mark Zuckerburg"

วันนี้มาพบกับ 10 ประโยคเด็ด พลิกชีวิตของผู้ชายที่มีชื่อว่า "Mark Zuckerburg" คนดังๆ ที่ประสบความสำเร็จอยู่ในปัจจุบันนี้ ถ้าลองศึกษาชีวประวัติของแต่ละคนดูแล้ว อดีตที่ผ่านมาของพวกเขาเหล่านั้นต่างก็ไม่ได้โรยมาด้วยกลีบกุหลาบ ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมานับไม่ถ้วน ผู้ชายที่ชื่อ Mark Zuckerburg คนนี้ ผู้ก่อตั้ง Facebook โซเชียลเน็ตเวิร์กชื่อดังก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ เขามีประโยคเด็ดๆ ที่คอยย้ำเตือนเขาอยู่เสมอ จะเป็นอย่างไรบ้างลองมารับชมกันเลยครับ

ten-sentences-mark

1.เอาชนะคนที่เคยดูถูกเราให้ได้ โดยเฉพาะ “แฟนเก่า” !!
เขาเคยถูกแฟนเก่าทิ้งไปตอนสมัยเรียนอยู่ ซึ่งตอนนั้นก็ทำตัวเละเทะมาก แถมยังโดนดูถูกว่าไม่มีวันประสบความสำเร็จด้วย

2.อย่าปล่อยให้คนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักคุณดี มาทำลายจุดยืนของคุณ
เขาไม่สนใจและไม่เคยแคร์กับคำพูดของคนที่คอยดูถูกความคิดของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว

3.ทำในสิ่งที่รักและรักในสิ่งที่ทำ
ทำในสิ่งที่รักมักจะทำได้ง่ายกว่าเสมอ

4.ผู้นำที่ดีต้องปลุกยักษ์ที่ซ่อนอยู่ในตัวคนรอบข้างได้
ปลูกฝังพลังในตัวเอง ลูกน้องก็จะมีพลังอยู่เสมอเช่นกัน

5.แสดงให้ทุกคนได้รู้ว่าคุณคือผู้นำองค์กรตัวจริง
ถ้าผู้นำดี ลูกน้องก็ย่อมดีตามไปด้วย

6.ตัวคุณเก่งอย่างเดียวไม่ได้ คุณต้องสร้างทีมให้เก่งเหมือนคุณด้วย
การทำงานร่วมกันจะเก่งคนเดียวไม่ได้ ฉะนั้นก็ควรส่งเสริมคนในองค์กรของคุณให้แข็งแกร่งไปด้วยกัน

7.อย่าให้ความคิดเห็นคนรอบข้างปิดประตูความคิดสร้างสรรค์ของคุณ
การทำงานของเขานั้น จะเปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกๆ คน ไม่สนว่าจะทำได้หรือไม่ได้ ขอให้ได้ทำ

8.อย่าเสียงานเพียงเพราะเห็นแก่ความเป็นเพื่อน
ตอนที่สร้าง Facebook ใหม่ๆ เขาทำงานร่วมกับเพื่อน แต่มันก็ต้องมีบ้างแหละที่ไม่ลงรอยกัน ซึ่งก็ต้องหาช่องว่างตรงกลางเพื่องานดำเนินต่อไปได้

9.อย่าให้ใครมาระบายสีให้ชีวิตเรา
จงเลือกทางเดินด้วยตนเอง อย่าให้ใครมาเป็นผู้กำหนดชีวิตของเรา

10.อยากประสบความสำเร็จ ต้องฝันให้ไกลแล้วไปให้ถึง
คนเราสามารถมีความฝันได้ แล้วเราเลือกที่จะเดินไปตามหาฝันนั้นรึเปล่าล่ะ?
Credit:catdump
เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับ 10 ประโยคเด็ด พลิกชีวิตของผู้ชายที่มีชื่อว่า "Mark Zuckerburg" แล้วกลับมาพบกันใหม่กับ  MySimpleDiary ชีวิตง่ายๆแค่คิดบวก สวัสดีครับ

วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2557

พบกับ 3 วิธี เรียกพลังฮึดสู้ให้กับตัวเอง ในวันที่รู้สึกแย่ที่สุด !

วันนี้มาพบกับ 3 วิธี เรียกพลังฮึดสู้ให้กับตัวเอง ในวันที่รู้สึกแย่ที่สุด มันเป็นอย่างไรบ้างนะไปดูกันเลยครับ

ถ้าคุณโดนตำหนิเรื่องงานแต่เช้า ทะเลาะกับแฟนจนรู้สึกหดหู่ไปทั้งวันจนไม่อยากทำอะไรเลยหรืออยากกลับบ้านทันที เมื่อโดนคนทั้งแผนกทักเรื่องการแต่งตัวจนหมดความมั่นใจ หรืออีกเรื่องคือทำไม๊ทำไม...ฉันถึงถูกเจ้านายเรียกไปว่าทั้งที่เป็นความผิดเขา หากคุณกำลังเจอเรื่องราวทำนองนี้ 3 ทิปส์ดีๆ ต่อไปนี้จะทำให้รู้สึกว่า "the show must go on!"


Credit: Smart SME
เป็นไงครับหวังว่าวิธี 3 วิธีนี้จะช่วยคุณได้นะครับแล้วกลับมาพบกันใหม่กับ  MySimpleDiary ชีวิตง่ายๆแค่คิดบวก สวัสดีครับ

G-CON Workshop on 4-09-2014

เป้าหมายของเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ
-การทำแผนที่ได้ทันที เช่นแผนที่จราจร
-การติดตามตลอด 24 ชม

ทำไมต้องใช้ข้อมูลภูมิสารสนเทศ
-ข้อมูลเพื่อการบริหาร วางแผน ตัดสินใจ ข้อมูลเชิงพิ้นที่ (spatial) ข้อมูลเชิงบรรยาย (Attribute Data)

Remote Sensing สำรวจระยะไกลโดยใช้ดาวเทียมสำรวจ เก็บข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุ พื้นที่
 - ใช้ลากเส้นบนแผนที่พอสังเขปเป็นพื้นที่ การสำรวจ ติดตาม ค้นหา และทำการคำนวณ

ข้อดี : ข้อมูลมีความถูกต้องและประหยัดค่าใช้จ่าย

ทำไมต้องเป็นภาพดาวเทียม
- ครอบครุมพื้นที่กว้าง (Synoptic view):Spatial
- บันทึกข้อมูลซ้ำที่เดิม (Receptivity): Temporal
- บันทึกข้อมูลได้หลายช่วงคลื่น (Multi-band):Spectral
- เป็นข้อมูลเชิงตัวเลข (Digital format:raster)
ภาพที่ถ่ายออกมาเป็นหลาย Resolution เพื่อได้ข้อมูลที่เด่นชัดขึ้นปัจจุบัน ภาพที่ถ่ายได้คือ 60 x 60 cm

ดาวเทียม THEOS หรือนามพระราชทานไทยโชต (Thaichote)
 ย่อมาจาก Thailand Earth Observation System โครงการพัฒนาดาวเทียมสำรวจทรัพยากร ส่วนมากใช้เพื่อการสำรวจสอดแนม

GIS คือ ฐานข้อมูลแต่ไม่ใช่บน table เพียงอย่างเดียวแต่จะเพื่มการเชื่อมต่อกับวัตถุและวิเคราะห์ข้อมูล

ดาวเทียมกำหนดตำแหน่ง :GMSS ( Global Navigation Satellite System)
ข้อดี
- หาตำแหน่งใดๆบนโลกได้ 24 ชม.
- นำร่องจากที่หนึ่งไปที่อื่นๆ

GEO Application
- Agriculture  เช่น พื้นที่ปลูกข้าว    
- Forest
- หาพื้นที่แหล่งแร่ แหล่งน้ำ แหล่งพลังงาน
- การทหาร , ทางเรือ
- ปริมาณน้ำท่วมขังในพื้นที่
- อุณหภูมิน้ำทะเล

5 benefit of GIS use in mobile application development
- Efficiency gains
- Femur mistakes
- Lower cost
- Citizen engagement
- Better Strategies decision

Example app:
 TVIS: Traffic voice Information Service ใช้เสียง + กับกล้องจาก CCTV และวิเคราะห์ รูปแบบของการจราจรได้   [ Data  > Information > how to? > user ]

NHC: บอกเกี่ยวกับปริมาณน้ำฝนว่า บริเวณนี้ฝนตกบ่อย ใช้สัญลักษณ์ที่เข้าใจง่าย 2-3 อัน และสี 3 สี

Disaster alert: active Hazards use symbol ในการสื่อสารอธิบายที่ตีความได้

Storm tracker: แอปใช้ดูว่าแถวไหนมีฝนฟ้าคะนองบ้าง


Idea
 -
ต้องสื่อสารเข้าใจง่าย
 - ช่วงอายุที่นำเสนอ
 - จำนวนคนที่จะคลิกใช้
 - contact หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง


ถัดมา เป็นทางด้านการพัฒนา
เริ่มที่ component
 - Space Imagery
 - Satellite Imagery
 - Maps
 - Street Views
 - Places
 - Indoors
 - Routing
 - Business View
 - Data Visual
 - Custom maps and application // url:morethanmaps.com
 - Mappers
 - Pegman

Example Application
 - Paris Metro
 - ShotHotSpot
 - Abby PutinSki // ระบายสี
 - City Mapper
 - Air Bnb
 - Plane Filler
 - SCB Atm finder

Design
 -
Principle
 - Maps Layers
 - Focus on the maps
 - Unique maps -Icon สีที่เข้าใจ
 - Route Type
 - Turn by Turn
 - Information matters
 - MuIH Screen
 - Detail
 - more see on // seefurther.withgoogle.com

Idea from Guest:
 เมื่อเราต้องการข้อมูล
 - ข้อมูลมาจากไหน ***
 - เจ้าของข้อมูลก็ไม่ได้อยากให้
 - อย่าใส่ feature เยอะและคิดไปเอง *
 - main problem หาให้เจอเร็วที่สุด
 - Data ที่อยากได้
 - ตอบโจทย์ของตัวเองให้ได้
 - เมื่อใช้ไปแล้วมีโจทย์อะไรเพิ่มเติม

ทางด้าน Data usage
- ข้อมูลนำไปสู่ข้อมูลต่อไปหรือปล่าว
- ความยากในการได้ข้อมูล เข้าถึงยากผ่านหลายขั้นตอนหรือปล่าว

Qoute: มีคำถามที่ถาม ไอสไตน์ ว่า ถ้ามีปัญหา 1 ชม ให้คนทั้งโลกเค้าจะแก้อย่างไร ?
 ไอสไตน์ ตอบว่า เค้าจะใช้เวลา 55 นาที ในการหาและวิเคราะห์ปัญหา และ 5 นาที ในการสื่อสารวิธิแก้ปัญหา

การวางแผน ทำสิ่งที่คนอยากได้ ทำให้ดีพอจนคนอยากที่จะจ่ายตังเรา  MySimpleDiary ชีวิตง่ายๆแค่คิดบวก สวัสดีครับ



















วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2557

อยากรู้ไหม ทำไมผู้หญิงถึงชอบเงียบเวลาไม่พอใจผู้ชาย

ทำไมผู้หญิงถึงชอบเงียบเวลาไม่พอใจผู้ชาย

           วันนี้มาไขข้อสงสัยให้หนุ่มๆหลายๆคน ว่าถ้าเกิดแฟนเรางี้เงียบไปเราจะทำอย่างไร หรือเราทำอะไรผิด จะได้ไปง้อได้ถูกเวลา และถูกเรื่อง เพราะเวลาเมื่อหนุ่ม ๆ เริ่มต้นความสัมพันธ์กับสาวที่พึงใจไปสักระยะหนึ่ง คุณจะพบว่าปัญหาที่แท้จริงในความสัมพันธ์นั้นไม่ใช่การที่พวกเธอพูดไม่หยุดหย่อน แต่เป็นเพราะพวกเธอนิ่งเงียบใส่คุณต่างหาก ซึ่งแน่นอนว่าจากคนที่พร้อมเจื้อยแจ้วกับคุณได้ตลอดกลับนิ่งเฉยไปซะงั้นทำให้คุณต้องร้อนใจไม่น้อยแน่ เพราะไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ วันนี้เลยจะมาช่วยไขข้อข้องใจให้หนุ่ม ๆ ได้ทราบกันว่า แท้จริงแล้วสาว ๆ เขารู้สึกอย่างไร...

คุณทำอะไรผิดโดยไม่รู้ตัว
          1. คุณทำอะไรผิดโดยไม่รู้ตัว

          เมื่อแรกรักน้ำต้มผักยังว่าหวาน แต่เมื่อรักกันไปสักพักหนึ่ง ความหวานก็เริ่มจางหายไปเหลือแต่ความจริง และเมื่อคุณผู้ชายเริ่มทำผิดพลาดบางอย่างที่ทำให้เธอเสียใจล่ะก็ พวกเธอจะเริ่มคิดว่าการได้คบกับคุณถือเป็นความผิดพลาดร้ายแรงเกินจะรับได้ นั่นจึงทำให้สาว ๆ เริ่มเงียบและจ้องหน้า เพื่อคิดจะบอกอะไรบางอย่างแก่คุณนั่นเอง ซึ่งต่างกับผู้หญิงบางคนที่เวลาไม่พอใจก็จะวีนใส่ แสดงอารมณ์ฉุนเฉียวออกมาทันที

เธอเครียดเกินกว่าจะพูดมันออกมา
          2. เธอเครียดเกินกว่าจะพูดมันออกมา
          หากคุณทั้งคู่ดันเกิดทะเลาะกัน แล้วสาว ๆ ไม่ยอมพูดอะไรกับคุณ หรือถึงขั้นไม่มองหน้า และเอาแต่ถอนหายใจล่ะก็ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเธอคงกำลังเครียดกับคุณแน่นอน ดังนั้น คุณผู้ชายต้องเป็นฝ่ายใจเย็นและพูดคุยถึงต้นเหตุของปัญหาทันที แต่ต้องค่อย ๆ คุยด้วยเหตุผลนะ ไม่ใช่ใส่อารมณ์กับเธอ ไม่อย่างนั้นเรื่องบานปลายแน่

เรื่องเล็กน้อยที่ขัดใจเธอเบา ๆ
          3. เรื่องเล็กน้อยที่ขัดใจเธอเบา ๆ

          บางทีเรื่องเล็ก ๆ ที่คุณทำก็อาจสร้างความไม่พอใจให้กับเธอได้เช่นกัน และบางครั้งก็อาจไม่เกี่ยวกับความสัมพันธ์สักเท่าไร เช่น วันนี้ทรงผมของคุณไม่เรียบร้อยเลย หรือจะไว้เคราให้ยาวถึงเข่าเลยไหม แต่หลายครั้งเลยล่ะที่พวกเธอเลือกที่จะไม่พูดอาจเพราะคิดไม่ออกว่าจะบอกคุณยังไง  ถ้าอย่างนั้นคุณก็ต้องลองสังเกตดูละกันว่า พวกเธอเคยบ่นอะไรในตัวคุณให้ฟังเอาไว้บ้าง แล้วแก้ไขมันซะ

พวกเธอมีเรื่องที่ไม่กล้าบอกตรง ๆ
          4. พวกเธอมีเรื่องที่ไม่กล้าบอกตรง ๆ

          บางครั้งสาว ๆ ก็ไม่ได้รู้สึกแย่กับคุณหรอก แต่บางเรื่องเช่น แฟนเก่าของเธอโทรศัพท์มาหา ซึ่งเธอก็ไม่รู้หรอกว่าถ้าบอกไปแล้ว คุณจะฉุนขาดรึเปล่า หรือว่าบางทีเธออาจไม่ค่อยปลื้มกับผมทรงใหม่ของคุณ ทว่าก็ไม่รู้จะพูดยังไงเพื่อไม่ให้คุณเสียความรู้สึก เอาเป็นว่าคุณควรแสดงให้เธอมั่นใจว่าสามารถรับฟังได้ทุกเรื่อง รวมถึงจะไม่แสดงอาการโมโหและพร้อมอยู่เคียงข้างเพื่อช่วยแก้ปัญหาได้อีกด้วย

เธอกำลังอารมณ์ไม่ดี แล้วคุณดันพูดไม่เข้าหูซะงั้น
          5. เธอกำลังอารมณ์ไม่ดี แล้วคุณดันพูดไม่เข้าหูซะงั้น

          ไม่ว่าใครก็มีโอกาสพบเรื่องที่ทำให้ตัวเองหัวเสียได้ตลอดเวลา รวมทั้งแฟนสาวของคุณด้วย ซึ่งบางครั้งเธออาจหัวเสียเรื่องอื่นมาก่อนแล้วก็ได้ และเมื่อคุณพูดอะไรไม่เข้าหูที่แม้จะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม แต่รับรองว่าเธองอนคุณอย่างแรงแน่นอน ทางที่ดี ควรดูท่าทีของเธอเสียก่อนจะพูดหรือแซวเล่นอะไร แต่ถ้าหากเรื่องมันปะทุขึ้นมาแล้ว การเอ่ยปากขอโทษเป็นทางออกที่ดีที่สุด

เธอพยายามควบคุมอารมณ์โกรธ
          6. เธอพยายามควบคุมอารมณ์โกรธ
          ใครก็ตามที่อารมณ์ไม่ดีอยู่ ย่อมไม่ค่อยอยากจะพูดอะไรออกมามากนัก เพราะเกรงว่าคำพูดที่พลั้งออกไปนั้นจะทำให้คนที่ได้ยินเสียใจนั่นเอง ซึ่งสิ่งที่คุณควรทำก็คืออยู่เฉย ๆ รอจนเธออารมณ์ดีซะก่อนดีกว่า

เธออยากจะเตือนบางอย่าง แต่กลัวคุณรับไม่ได้
          7. เธออยากจะเตือนบางอย่าง แต่กลัวคุณรับไม่ได้

          ใช่ว่าทุกคนเกิดมาจะสมบูรณ์แบบ และนั่นทำให้คู่รักที่ดีย่อมต้องตักเตือนกันเสมอ เวลาที่ใครทำอะไรไม่ถูกต้อง แต่บางครั้งเธอก็หมดปัญญาจะเตือนคุณและไม่รู้จะเตือนคุณอย่างไรแล้วก็ได้ (พูดง่าย ๆ คือ เอือมเต็มทีแล้ว) เช่น เธออาจเตือนให้คุณไปต่อใบขับขี่เป็นครั้งที่ 5 แล้ว ซึ่งไม่ว่าใครก็คงเบื่อจะพูดแล้วทั้งนั้น และไม่ใช่เด็ก ๆ ที่ต้องมานั่งจ้ำจี้จ้ำไชให้ทำตลอด ดังนั้น สิ่งที่คุณจะทำได้ มีแต่พยายามปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น โดยเฉพาะเรื่องที่เธอเคยเตือนมาก่อนแล้ว

เธอรอจะพิสูจน์คำท้าจากคุณ
          8. เธอรอจะพิสูจน์คำท้าจากคุณ
          หากหนุ่ม ๆ เกิดนึกสนุกลองไปท้าทายแฟนสาวในเรื่องที่คุณเธอแสนจะถนัดและมั่นใจนักล่ะก็ หากเธอไม่ปรี๊ดแตกตรงนั้นทันทีก็พอเดาได้ว่า เธอจะสุมไฟแค้นจากคำท้ามาพิสูจน์ให้คุณรู้สึกว่า สิ่งที่คุณพูดน่ะผิดถนัดเลยล่ะ นั่นจึงเป็นเหตุให้เธอครุ่นคิดเตรียมการและเงียบไปเพื่อจัดการคำท้าของคุณ

กลับบ้านไปล่ะเจอดีแน่
          9. กลับบ้านไปล่ะเจอดีแน่

          หลายครั้งที่หนุ่ม ๆ มักพลาดทำผิดต่อเธออย่างแรงในที่สาธารณะ ซึ่งสาว ๆ หลายคนมักเลือกเก็บความโมโหเอาไว้ก่อน ไม่พูด ไม่บ่น ไม่เหวี่ยงอะไรทั้งสิ้น เพราะไม่ต้องการแสดงออกให้ใครเห็น จนทำให้คุณไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอกลับถึงบ้านเท่านั้นแหละ เตรียมตัวตายได้เลยหนุ่ม ๆ เอ๋ย เอาเป็นว่าพยายามอย่าทำให้พวกเธอโกรธเป็นดีที่สุด ทว่าเมื่อไหร่ที่เธอเงียบปุ๊บ ให้พึงย้อนระลึกดูทันทีเลยว่า ก่อนหน้านี้ทำอะไรผิดไปหรือเปล่า

มีเรื่องเซอร์ไพรส์ให้คุณ
          10. มีเรื่องเซอร์ไพรส์ให้คุณ

          ไม่ใช่ว่าทุกครั้งที่เวลาเธอไม่คุยกับคุณจะต้องเป็นเรื่องไม่ดีเสมอไป แต่อาจเป็นเพราะเธอวางแผนพิเศษเตรียมไว้ให้คุณต่างหาก เช่น ตลอดเวลาที่ผ่านมาคุณใส่ใจดูแลเธออย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าในบางครั้งเธอจะงี่เง่าใส่สักแค่ไหน คุณก็ไม่เคยโกรธ หนำซ้ำยังคอยเอาอกเอาใจเพื่อให้เธออารมณ์ดีขึ้นอีก เป็นไปได้เลยว่าสักวันหนึ่งฝ่ายหญิงจะเตรียมเซอร์ไพรส์เป็นการตอบแทนความน่ารักของคุณบ้างยังไงล่ะ ซึ่งอาจทำอาหารที่คุณชอบเตรียมไว้ หรือซื้อของที่อยากได้มานานให้ เป็นต้น ดังนั้น อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้เวลาสังเกตเห็นว่าเธอเงียบไปจนดูผิดปกติ เพราะเรื่องดี ๆ  อาจกำลังรอคุณอยู่ก็ได้

Credir: kapook

เป็นอย่างไรบ้างครับ หวังว่าหนุ่มๆจะรู้แล้วเข้าใจแล้วนะครับว่า มันเกิดอะไรขึ้น อิอิ แล้วกับมาพบกันใหม่กับ 
 MySimpleDiary ชีวิตง่ายๆแค่คิดบวก สวัสดีครับ

วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2557

นิทานเซน พ่อค้าซื้อขาโต๊ะ

chinese artกลับมาพบกันอีกครั้งแล้วนะครับ วันนี้ผมก็เอาเรื่องเกี่ยวกับ นิทานเซน มาเล่าให้ทุกคนฟังนะครับ ลองมารับชมกันดูนะครับผมว่าเรื่องนี้เป็นอย่างไรกันบ้าง ซึ่งนิทานเซนนี้เป็นนิทานเรื่องหนึ่งที่สอนคนที่ไม่ซื่อสัตย์ คิดที่จะโกงคนอื่น ก็ต้องได้รับผลกรรมแห่งเจตนาที่ไม่ดีของตนเอง เรื่องราวมีดังนี้ครับ
ยังมีพ่อค้าของเก่าจอมเจ้าเล่ห์รายหนึ่งเดินทางผ่านมายังอารามเซน ขณะมองเข้าไปในอาราม บังเอิญพบเห็นโต๊ะโบราณซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นของที่เคยใช้ภายในราชสำนักตัว หนึ่งตั้งอยู่ด้านใน โต๊ะตัวนี้งดงามยิ่ง ทำจากไม้หายากลวดลายแกะสลักวิจิตรบรรจง ไม่ว่าจะมองในแง่คุณค่าทางศิลปะหรือมูลค่าแท้จริงก็ล้วนจัดว่าโต๊ะตัวนี้คือ ของล้ำค่า เมื่อเห็นดังนั้นพ่อค้าจึงตาลุกวาว คิดแผนการว่าทำอย่างไรจึงจะได้โต๊ะมาในราคาที่คุ้มทุนที่สุด
ขณะนั้น เป็นเวลาพอดีกันกับที่เณรน้อยรูปหนึ่งต้องนำโต๊ะตัวดังกล่าวออกมารับแสงแดด และเช็ดถูทำความสะอาด พ่อค้าจึงได้จังหวะเข้าไปพูดคุยกับเณรว่า “โต๊ะตัวนี้เป็นโต๊ะที่งดงามยิ่ง” เณรน้อยมิตอบคำ ตั้งหน้าตั้งตาเช็ดโต๊ะต่อไป
พ่อค้าจึงกล่าวอีกว่า “แม้ว่าจะสวยงาม แต่น่าเสียดายที่มันเป็นของปลอม เพราะของจริงนั้นตั้งอยู่ที่บ้านของข้าเอง” เณรน้อยยังคงมิใส่ใจ
พ่อค้าไม่ละความพยายามกล่าวต่อไปอีกว่า “น่าเสียดาย เมื่อตอนที่ข้าย้ายบ้าน ไม่ทันระวังทำขาโต๊ะโบราณของข้าหักไป 2 ข้าง อยากถามท่านเณรว่าสามารถขายโต๊ะตัวนี้ให้กับข้าในราคา 1 พันตำลึงได้หรือไม่? “
ครานี้เณรจึงเอ่ยปากออกมาว่า “ในเมื่อท่านบอกว่าโต๊ะตัวนี้เป็นของปลอม เช่นนั้นท่านจะซื้อไปทำไมหรือ?”
พ่อค้ารีบตอบว่า “ข้าคิดว่าจะนำขาของโต๊ะของปลอมตัวนี้ไปซ่อมขาโต๊ะที่เป็นของแท้ที่บ้านของ ข้าทำเช่นนี้ท่านเณรก็ได้ประโยชน์สามารถนำเงินไปซื้อโต๊ะของแท้ตัวใหม่ ส่วนข้าก็ได้ซ่อมแซมโต๊ะโบราณอันเป็นสมบัติดั้งเดิมของตระกูลได้สำเร็จ” เณรนิ่งคิดครู่หนึ่งจึงตอบตกลงตามข้อเสนอของพ่อค้าจอมเจ้าเล่ห์
พ่อค้าเห็นดังนั้น ก็พยายามกดข่มความลิงโลดใจไม่ให้ออกนอกหน้า ขณะที่ในใจดีดลูกคิดรางแก้วคำนวณราคาของโต๊ะไว้เสร็จสรรพว่าหากนำโต๊ะที่ได้ จากอารามเซนตัวนี้ไปขายคงได้ราคาไม่ต่ำกว่าสิบหมื่นตำลึง ขณะเดียวกับก็ลอบตำหนิตนเองที่เสนอราคาให้เณรไปถึง 1 พันตำลึง จากนั้นพ่อค้าหัวใสจึงออกปากให้เณรช่วยยกโต๊ะออกไปรอไว้นอกอาราม ส่วนตนเองออกไปหาเสาะรถมาขนย้ายโต๊ะด้วยความอิ่มอกอิ่มใจที่ทำการค้าสำเร็จ
เวลาผ่านไป เมื่อพ่อค้านำรถขนย้ายกลับมายังอารามเซน กลับพบว่าโต๊ะโบราณอันล้ำค่าของเขาถูกแยกชิ้นส่วน ขาโต๊ะอยู่ทาง ตัวโต๊ะอยู่อีกทาง กลายเป็นของไร้ค่ากองหนึ่ง
พ่อค้าตกใจแทบสิ้นสติกัดฟันเอ่ยถามเณรน้อยด้วยความโกรธจัดว่า “โต๊ะของข้า ไฉนจึงเป็นเช่นนี้?”
เณรน้อยกล่าวด้วยความปลอดโปร่งว่า ข้ากลัวว่ารถขนย้ายจะเล็กเกินไปไม่สามารถขนโต๊ะตัวใหญ่ขนาดนี้ไปได้ จึงจับมันแยกชิ้นส่วน อีกประการหนึ่ง ท่านก็บอกเองว่าต้องการใช้ขาของโต๊ะตัวนี้ ดังนั้นการที่ข้าจัดการแยกขาออกจากโต๊ะให้กับท่าน ยังมิใช่เป็นการช่วยอำนวยความสะดวกให้กับท่านดอกหรือ?
เมื่อพ่อค้าได้ยินดังนั้น ได้แต่อับจนถ้อยคำตอบโต้ใดๆ

เป็นอย่างไรบ้างครับกับนิทานเซนเรื่องนี้ ได้แนวคิดดีๆ หลายเรื่องเลยนะครับ หวังว่าทุกท่านจะได้ประโยชน์จากนิทานเรื่องนี้นะครับผม แล้วพบกันใหม่กับ MySimpleDiary ชีวิตง่ายๆแค่คิดบวก สวัสดีครับ

วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2557

พบกับ 5 แอพ ช่วยจัดลำดับงานให้ทำได้ง่ายขึ้น สำหรับนักธุรกิจ

 
วันนี้มาพบกับ 5 แอพ ช่วยจัดลำดับงานให้ทำได้ง่ายขึ้น ลองมาดูกันครับว่ามีแอป อะไรบ้างที่จะช่วยงานของเราให้มันสะดวกแล้วง่าย มากขึ้น ลองรับชมกันครับ
 
สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี)การจัดลำดับการทำงานนับว่าสำคัญมาก เพราะงานจะเสร็จทันตามกำหนดหรือไม่ ลูกค้าจะพอใจหรือไม่ มักขึ้นอยู่กับปัจจัยดังกล่าว และยังหมายรวมถึงการทำให้พนักงานมีแรงกระตุ้นในการทำงาน หรือทำให้พนักงานหมดประสิทธิภาพได้เลยทีเดียว
 
ล่าสุด เว็บไซต์ เดอะ เทเลกราฟ ได้นำเสนอบทความแนะนำแอพพลิเคชั่นที่จะช่วยให้การจัดลำดับงานทำได้ง่ายขึ้น โดยได้แนะนำแอพพลิเคชั่น 5 ตัว ดังต่อไปนี้
 
1. ทูดูอิสต์ Todoist
เป็นแอพที่จะช่วยบันทึกลำดับการทำงานที่สำคัญๆ เช่น การบันทึกกำหนดส่งงาน และยังสามารถแบ่งปันขั้นตอนการทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงานได้อีกด้วย โดยแอพดังกล่าวสามารถเข้าถึงได้จากทุกแห่งทั่วโลก และยังเชื่อมต่อกับระบบคลาวด์ชื่อดังอย่าง "ดร็อปบ็อกซ์" ได้อีกด้วย ถึงแม้จะมีผู้อ้างว่าแอพอื่นก็มีความสามารถในการทำงานเช่นนี้ได้เหมือนกันทว่าทูดูอิสต์ได้รับการประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อธุรกิจเอสเอ็มอีโดยเฉพาะ
 
2.เอนีดู Any.Do
เป็นแอพที่ช่วยให้พนักงานสามารถจัดลำดับการทำงานในแต่ละวันได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่โต๊ะหรืออยู่ระหว่างเดินทางก็ตาม ทางเดอะ เทเลกราฟ ระบุว่าแอพตัวนี้แม้จะดูมีความเป็นธุรกิจน้อยกว่าทูดูอิสต์ แต่ก็ทำให้ดูสบายตากว่าและใช้ง่ายกว่ามาก
 
3.โซโฮ ซีอาร์เอ็มZohoCRM
นับเป็นแอพที่กำเนิดขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างแท้จริง และช่วยบันทึกรายการที่มักจะถูกลืม เช่น สิ่งที่ต้องทำประจำวัน การติดตามสถานะการขาย และการติดต่อกับลูกค้า นอกจากนี้ยังสามารถอัพเดทได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม นับว่าเหมาะกับฝ่ายขายที่ต้องเดินทางอยู่ตลาดเวลา
 
4.เยส เวิร์กฟอสYes Workforce
ถือเป็นแอพที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อจัดการกับงานที่ต้องออกนอกสถานที่อยู่ตลอดเวลา เช่น ช่างประปา ช่างไฟฟ้า และพนักงานขับรถ โดย เยส เวิร์กฟอส จะเป็นศูนย์กลางแสดงข้อมูลถึงตำแหน่งของพนักงานและระยะเวลาในการทำงานนอกจากนี้พนักงานทุกคนสามารถแบ่งปันข้อมูล รูปภาพ ให้กับแอดมินได้อย่างเรียลไทม์ ซึ่งทำให้การมอบหมายงานมีประสิทธิภาพสูงสุด
 
5.ไมโครซอฟท์ ออฟฟิศ 365 Microsoft Office 365
นับเป็นระบบคลาวด์ของไมโครซอฟท์ ที่ทำให้ผู้ใช้สามารถเรียกใช้งานโปรแกรมทำงานพื้นฐานทั้งเวิร์ดและเอ็กเซลได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดบนโลกผ่านสมาร์ทโฟนรวมถึงโปรแกรมอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งทำให้พนักงานเหมือนมีคอมพิวเตอร์ส่วนตัวติดตัวไปด้วยทุกที่ 
ที่มา : Smart SME

เป็นไงกันบ้างครับ กับ
 5 แอพ ช่วยจัดลำดับงานให้ทำได้ง่ายขึ้น สำหรับนักธุรกิจ ช่วยได้เยอะเลยแล้วกลับมาพบกันใหม่กับ  MySimpleDiary ชีวิตง่ายๆแค่คิดบวก สวัสดีครับ

วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2557

การ "ออมเงิน" ง่ายๆที่คุณก็ทำได้


       ในทุกวันนี้เพื่อนๆหลายๆคนอาจจะมีปัญหาในด้านการออมเงิน จะเก็บเงินยังไงก็เก็บไม่อยู่สักที วันนี้เรานำเอาเคล็ดลับการออมมาฝากเพื่อนๆกันครับ ซึ่งถ้าเพื่อนๆคนไหนทำได้ เชื่อได้ว่าคงจะมีเงินเหลือเก็บแต่ละเดือนแน่นอน อยากรู้กันแล้วละสิลองไปดูกันเลยครับว่าจะมีวิธีใดบ้าง ที่จะช่วยให้เรามีเงินออมมากขึ้น

1. ใช้บัตรเอทีเอ็มกดเงินเพียงสัปดาห์ละครั้ง
             เริ่มจากการคำนวณค่าใช้จ่ายในแต่ละสัปดาห์เพื่อดูว่าปกติเราใช้เงินสัปดาห์ละเท่าไร หรืออยากใช้สัปดาห์ละไม่เกินเท่าไร แล้วให้กดเงินมาเพียงครั้งเดียวเท่านั้น โดยเลือกกดในวันจันทร์ เนื่องจากเป็นวันเริ่มต้นสัปดาห์ หลังจากนั้นให้แบ่งเงินออกเป็น 5 ส่วน หรือ 7 ส่วน แล้วแต่สะดวก จะได้รู้ว่าต้องใช้เงินวันละเท่าไร และแบ่งเงินใส่กระเป๋าสตางค์ไว้แบบวันต่อวันเพื่อป้องกันไม่ให้ใช้เงินเกิน ส่วนเงินที่เหลือให้นำไปเก็บไว้ ไม่ต้องพกออกจากบ้าน วิธีนี้จะช่วยให้เรามีวินัยในการใช้จ่ายเงินมากขึ้นและมีเงินออมเพิ่มมากขึ้นด้วย แต่ถ้าใครติดนิสัยชอบกดเงินบ่อย ๆ และกลัวจะเผลอเดินไปกดเงินง่าย ๆ ก็แนะนำให้เก็บบัตรเอทีเอ็มไว้ที่บ้าน ไว้ในห้องที่ปลอดภัย และนำมาใช้แค่สัปดาห์ละครั้งค่ะ

2. ไม่ไปในที่ที่จะทำให้เราเสียตังค์
             หากเราไม่พาตัวเองเข้าไปในสภาพแวดล้อมที่จะทำให้เราต้องเสียเงินแล้ว เราก็จะรอดพ้นจากการเสียเงินทันที วิธีนี้ง่ายไหมคะ มาดูตัวอย่างกันค่ะ เช่น วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ หากไม่รู้จะไปไหนก็ให้พักผ่อนอยู่บ้าน ไม่ไปร้านเสื้อผ้าที่เราชอบใส่ ไม่ไปร้านอาหารที่เราชอบกิน ไม่เข้าร้านกาแฟที่เราชอบดื่ม หรือไม่เข้าเว็บไซต์ช้อปปิ้งออนไลน์ที่เราชอบซื้อ เพียงเท่านี้เราก็จะไม่เกิดกิเลส และไม่ต้องควักเงินจ่ายกับเรื่องที่ทำให้เราต้องเสียเงินง่าย ๆ ค่ะ 

 3. ไม่พกบัตรเครดิตเวลาไปช้อปปิ้ง
             หากยังไม่สามารถห้ามใจไม่ให้พาตังเองเข้าไปในสภาพแวดล้อมที่จะทำให้เราเสียเงินได้ก็ไม่เป็นไรค่ะ แนะนำให้ใช้วิธีดึงบัตรเครดิตทุกใบออกจากกระเป๋าสตางค์ก่อนไปช้อปปิ้งค่ะ ไม่ต้องพกติดตัวไปด้วย ฟังดูแล้วอาจเป็นวิธีที่ค่อนข้างโหดร้ายไปสักหน่อย แต่น่าจะใช้ได้ดีกับคนที่ชอบช้อปปิ้งเป็นชีวิตจิตใจ เห็นอะไรถูกใจเป็นต้องรูดปรื๊ด ๆ โดยลืมนึกถึงยอดเงินที่ต้องจ่ายทั้งหมด วิธีนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้เราใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือย หรือรูดบัตรเกินความจำเป็น ทำให้มีเงินเหลือเก็บมากขึ้น แถมยังไม่ต้องเป็นหนี้บัตรเครดิตอีกด้วยค่ะ 

ที่มา :
 ธนาคารกสิกรไทย

เป็นไงครับกับการออมเงินง่ายๆ ที่คุณก็ทำได้เพียงแค่คุณเริ่มต้นเท่านั้น แล้วกลับมาพบกันใหม่กับ  MySimpleDiary ชีวิตง่ายๆแค่คิดบวก สวัสดีครับ

พบกับ 6 แนวทาง ที่สร้างธุรกิจได้ แม้คุณ “ไร้ประสบการณ์”


วันนี้มาพบกับ การทำธุรกิจได้ แม้ไร้ประสบการณ์ แต่ว่าก็ต้องมีหลักในการประกอบการลองมารับชมข้อมูลสิ่งที่เราควรมีเพื่อเป็นผู้ประกอบการกันครับ  
     มักจะมีการพูดปากต่อปาก และจากรุ่นสู่รุ่นอยู่เสมอว่า สำหรับการประกอบธุรกิจ เรื่องของ “ประสบการณ์” ถือเป็นเรื่องใหญ่ จนอาจจะพูดได้ว่า ผู้ใดไม่มีประสบการณ์ อย่าริไปทำธุรกิจโดยเด็ดขาด วันนี้เรามี 6 แนวทางที่จะปฏิวัติความคิดเรื่องประสบการณ์ Timothy Ericson (ธิโมธี อิริคสัน) ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท CityRyde  (ซิตี้ไรด์) โดยเขาระบุว่า "ประสบการณ์" อาจจะไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจอีกต่อไป ถ้าใช้แนวทางดังต่อไปนี้
 

1.สำรวจความต้องการของตลาด
     การสำรวจให้ถ่องแท้ถึงความต้องการของตลาด เป็นสิ่งแรกที่ผู้ประกอบการ หน้าใหม่พึงกระทำ โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสิ่งประดิษฐ์และบริการ นั่นเป็นเพราะคุณ ต้องเข้าใจในพื้นฐานของแต่ละคน ย่อมที่มีความต้องการที่แตกต่างกัน ผลิตภัณฑ์หรือบริการใดสามารถตอบสนองความต้องการได้ครบและครอบคลุมทุกกลุ่มผู้บริโภคได้ จึงจะถือเป็นช่องทางและโอกาสทองของผู้ประกอบการมือใหม่ที่ต้องจับตลาดความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาให้ได้ และออกแบบผลิตภัณฑ์ออกมาตอบสนองความต้องการในส่วนดังกล่าว  ซึ่งแนวทางนี้ไม่จำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์ สิ่งที่คุณต้องใช้ คือรีเสิร์ช และการทำวิจัยดีๆ ต่างหาก

2.ประเมินโอกาสทางธุรกิจ
     ในการทำธุรกิจ คนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องธุรกิจมาก่อน เพียงแต่ใช้มุมมองในการประเมินการสร้างโอกาส โดยวิธีการประเมินธุรกิจเบื้องต้นที่ง่ายที่สุด คือการประเมินศักยภาพของธุรกิจของตนเองและกลุ่มตลาดเป้าหมาย อาทิเช่น การพิจารณาที่ปัจจัยความพร้อมของบุคลากร เงินทุน การบริหาร บวกกับแนวทางการขยายตัวคู่แข่ง ที่มีกลุ่มเป้าหมายเดียวกัน เมื่อนำปัจจัยทั้ง 2 ด้านมาวิเคราะห์ คุณก็จะประเมินได้ว่าธุรกิจนั้นๆ มีความน่าลงทุนขนาดไหนที่จะส่งผลิตภัณฑ์และบริการลงไปแข่งด้วย แนวคิดนี้ จะช่วยให้คุณทำธุรกิจอย่างฉลาด ที่ได้มากกว่าเสียนั่นเอง

3.สร้างความน่าเชื่อถือ
     นี่คือแนวทางสำคัญที่จะช่วยลดจุดด้อยในเรื่องการขาดประสบการณ์ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกับบริษัทหน้าใหม่ๆ คำถามที่มักพบเป็นประจำเมื่อเวลาไปขายงานต่อหน้าลูกค้าคือ อะไรจะการันตี และบ่งชี้ว่าคุณจะทำงานให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่นำเสนอมาได้ ทางออกของปัญหาดังกล่าว นั่นคือการสร้างความน่าเชื่อถือให้เกิดขึ้นภายใต้กรอบการดำเนินงานของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มจำนวนเงินทุนสำรอง ยอดหมุนเวียนในกระแสเงินสด และที่สำคัญคือประวัติการทำงานที่ผ่านมาของบริษัทต้องไม่มีข้อผิดพลาดจนถูกฟ้องร้องหรือความล้มเหลวที่เกิดขึ้นจากการทำงานโดยเด็ดขาด

4. ใช้ของฟรี ให้มีประโยชน์
     หากไม่มีประสบการณ์ ก็ต้องอาศัยความทุ่มเทและการประหยัดเป็นหลัก โดยคุณอาจหาข้อมูลและคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านธุรกิจที่ให้บริการฟรีในโลกสังคมออนไลน์ (Social Media) เช่น ทวิตเตอร์และเฟซบุ๊ก ที่มักให้คำปรึกษาในการทำธุรกิจแบบฟรีๆ บางครั้งคำปรึกษานั้นๆ อาจช่วยพิจารณาการวางแผนธุรกิจและช่วยกระจายข้อมูลในเรื่องการทำงานให้ด้วย

5. ใช้อินเตอร์เน็ตอย่างคุ้มค่า
        ผู้เริ่มต้นธุรกิจ ในช่วงแรกต่างรู้ดีว่าเงินทุนเป็นสิ่งมีค่ามากที่สุด การใช้จ่ายจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยหนึ่งในแนวทางที่จะช่วยลดรายจ่ายได้เป็นอย่างดีคือ การใช้งานอินเทอร์เน็ตให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ซึ่งปัจจุบันข้อมูลที่เกี่ยวกับการทำธุรกิจสามารถค้นหาจากทางโลกออนไลน์ได้แทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นแนวทางการเขียนแผนทางธุรกิจ การดาวน์โหลดเอกสาร และที่สำคัญคือสถิติต่างๆ ที่มีเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตก็มีอยู่เป็นจำนวนมากและฟรีอีกด้วย

6. สร้างจุดแข็ง แล้วใช้ให้เกิดประโยชน์
         ในการลดปัญหาที่เกิดจากการขาดประสบการณ์ทางธุรกิจ นั่นคือการสร้างจุดแข็งที่มีให้เกิดประโยชน์ ผู้ประกอบการจะต้องสำรวจตนเองก่อนว่ามีจุดแข็งในเรื่องอะไรที่จะสามารถไปต่อสู้กับคู่แข่งในตลาดได้ ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องของราคาที่ถูกกว่า คุณสมบัติที่ดีกว่า เป็นต้น  
ที่มา : Smart SME

เป็นไงครับกับ
6 แนวทาง ที่สร้างธุรกิจได้ แม้คุณ “ไร้ประสบการณ์” หวังว่านี้จะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำหรับใครหลายๆคนที่คิดจะเป็นผู้ประกอบการนะครับแล้วพบกันใหม่กับ MySimpleDiary ชีวิตง่ายๆแค่คิดบวก สวัสดีครับ

วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2557

Differential Evolution(DE) by Pro.Chu

Today I have lecture class about Differential Evolution or call for short is DE 

How DE perform ?
optimality search using mutation, crossover and selection of the best individual along the generation

 first step by mutation to generate a mutated vector
 then mutated vector and the target vector to create the trial vector
 after all selection to keep the better one of the trial vector and target vector


DE Mutation strategies
x identifies the mutated vector,
- y specifies the number of pair of different vector, and
- z denotes the crossover methods, either binomial or exponential

Binomial Crossover in DE
- if High CR we choose from Vji
- if Low CR we choose from Xji

many formula from here so I skipping on writing about them but you can
look up for it by using this keywords Binomial Crossover , Exponential Crossover


Three Critical Control Parameters of DE
- NP : the population size , suggested 3D - 8D
 D is the problem's dimension or the number of decision variables to optimize
[ if NP is increase while F is slightly decreased, the convergence is more likely to occur but generally takes longer. ]

- CR: crossover rate -[0.0,1.0], often high~0.7-0.9
control the influence of parent in generation of offspring
[ more sensitive to a problem's property and complexity, such as the multi-modality ]

- F: Differential scaling factor -(0.0,2.0] often <1.0
 Set to 0.5 if unknown.
 controls the amplification of differential variation
[ F is more related to the convergence speed ]



Self-Adaptive DE by Qin and Suganthan (NTU) called SaDE

 switches between two variants: DE/rand/1/bin and DE/current-to-best/1/bin


Trigonometric Mutation Operation to differential Evolution (2003) by Fan & Lampinen's

 Random 3 different vectors, with indices r1, r2, and r3

Opposition-based Differential Evolution by Rahnamayan
- Min and Max is not boundary it's a min and max of current population
- this method is more mutated if do more it not good because it's will produce too much varies


And this is all for today see you again

 MySimpleDiary ชีวิตง่ายๆแค่คิดบวก สวัสดีครับ








Card Design – User Interface

 วันนี้จะมาแนะนำ UI Design แบบใหม่ที่กำลังมาแรง ซึ่งถูกใช้ในเว็บไซต์ดัง ๆ มากมาย และหลายคนอาจจะเคยดีไซน์ UI แบบนี้มาแล้ว แต่ไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไร ก็ขอแนะนำให้รู้จักกับ User Interface แบบ “Card” (การ์ด) ครับ มาดูกันเลยว่ามันเป็นยังไง มีความพิเศษยังไง ทำไมเว็บไซต์ดัง ๆ ถึงนำมาใช้กัน

CARD: USER INTERFACE คืออะไร

Card Design Interface
พอพูดถึงการ์ด หลายคนอาจจะนึกถึงการ์ดพวกนี้
การ์ด เป็นการดีไซน์ UI โดยอิงจาก Card (แปลว่าไพ่ หรือบัตรก็ได้) ในชีวิตประจำวันของเรา เมื่อเรานึกถึงบัตรเครดิต, นามบัตร, ใบขับขี่, บัตรนักศึกษา, หรือไพ่สำรับทั่วไป สิ่งที่การ์ดเหล่านี้มีเหมือนกันก็คือ:
  • การ์ดแต่ละใบ ให้ข้อมูลที่จำเป็นในพื้นที่จำกัด
  • การ์ดแต่ละใบ ให้ข้อมูลที่แตกต่างกัน
  • การ์ดแต่ละใบ มีสองด้าน (ทำให้เกิด UI แบบพลิกไปด้านหลังได้)
จาก Concept ข้างต้น จึงมีการนำดีไซน์แบบการ์ดมาใช้ในการแสดงข้อมูลต่าง ๆ บนเว็บไซต์ มาดูตัวอย่างจากเว็บดัง ๆ กันครับ

ตัวอย่าง CARD DESIGN ในเว็บไซต์ดัง ๆ

FACEBOOK : CARD UI DESIGN

Facebook Card Design
1 โพสใน Facebook เป็นการ์ด 1 ใบ
จะเห็นว่าใน Facebook.com ใช้การดีไซน์แบบการ์ด โดยโพสใน Facebook 1 โพสแทนด้วยการ์ด 1 ใบ และในการ์ดแต่ละใบ ผู้ใช้สามารถกดไลค์, คอมเม้นท์, แชร์ได้ โดย UI Design แบบนี้มีการใช้ทั้งบนเว็บไซต์ และใน Mobile App ของ Facebook เลยครับ

PINTEREST : CARD UI DESIGN

Pinterest Card Design
1 โพสใน Pinterest แสดงผลด้วยการ์ด 1 ใบ
เว็บไซต์ Pinterest.com ซึ่งมีดีไซน์แบบการ์ด และจัดวางกริดที่เป็น Signature อยู่แล้ว การ์ดแต่ละใบใน Pinterest สามารถคลิกดูรูปใหญ่ได้, Pin ได้, กดหัวใจได้ etc. สารพัดประโยชน์มาก ๆ ในพื้นที่แสดงผลของการ์ด 1 ใบ
สารภาพนิดนึงครับ เว็บไซต์นี้ตอนออกมาแรก ๆ ผมก็ไม่รู้ว่าประโยชน์มันคืออะไรครับ พอเห็นดีไซเนอร์ในออฟฟิสใช้หลาย ๆ คนเลยได้รู้ว่าเป็นเว็บรวม Inspiration หาไอเดียชั้นเยี่ยมมาก โดยเฉพาะคนในงานสาย Creative นี่เข้าออกเว็บ Pinterest กันตลอดทั้งวัน

TWITTER : CARD UI DESIGN

Twitter Card Design
โพสใน Twitter ก็ใช้หลักการคล้าย ๆ ใน Facebook ครับ
ใน Twitter.com ก็มีการนำ Card Design มาใช้เช่นกัน โดยในการ์ด 1 ใบผู้ใช้สามารถ Follow, ตอบ Tweet, Retweet, Favorite etc. ได้

GOOGLE : UI DESIGN

Google Card Design Google Now
Card Design ใน Google Now – รูปประกอบจาก Fastcodesign
Google นี่ถือเป็นแบรนด์ใหญ่แรก ๆ เลยที่นำ Card Design มาใช้ใน User Interface ครับ ซึ่งรูปด้านบนเป็นแอพ Google Now ที่พอลงแล้วจะมี Notification ที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันเราส่งมาให้ตลอด เช่น พยากรณ์อากาศ เที่ยวบินที่เราต้องขึ้น หรือเส้นทางสำหรับเดินทางที่สั้นที่สุด
ถ้าใครใช้ Google Plus ก็จะเห็นว่ามีการใช้ Card UI Design เช่นกัน หรือแม้แต่ Google Glass แว่นอัจฉริยะของ Google ก็มีการทำ User Interface เป็นแบบการ์ดครับ ลองดูตัวอย่างด้านล่างได้เลย
Google Glass Card Design
ตัวอย่าง Card Design ใน Google Glass – รูปประกอบจาก Google
แนะนำให้ดูตัวอย่างวีดิโอ Google Glass  ใช้ Card Design ทำออกมาได้สวยงามมากCARD UI มีข้อดียังไง
จากตัวอย่างน่าจะได้ไอเดียของการทำ Card Design มาบ้างแล้วนะครับ มาดูกันดีกว่าว่าทำไมต้องใช้ Card Design
Card Design UI Detail
รายละเอียดต่าง ๆ บน Card UI Design แบบชัด ๆ สามารถ Interact ได้หลายจุด (กรอบสีส้ม)

ข้อดีของ UI แบบ Card Design คือ: (ดูรูปด้านบนประกอบนะครับ)
ข้อมูลไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป – การ์ดให้ข้อมูลแบบพอดิบพอดี ถ้าอยากได้ข้อมูลส่วนไหนเพิ่มก็มีลิงค์ในการ์ดให้กดไปดูต่อได้ (เช่น กดตรงเลขจำนวนคน Like เพื่อแสดงรายชื่อคน Like ทั้งหมด)
ใช้งานได้สารพัดประโยชน์ – มีจุดให้คลิกเพื่อ Interact กับการ์ดได้หลายจุด (จุดที่วงด้วยกรอบสีส้มในรูปด้านบน) เพื่อ Like ก็ได้ Share ก็ได้ Comment ก็ได้ ทำให้การ์ดสามารถใช้ประโยชน์ได้หลากหลายในใบเดียว
ใช้พื้นที่ไม่เยอะ – เว็บไซต์ 1 หน้าสามารถวางการ์ดได้หลายใบ ทำให้ผู้ใช้สามารถดูข้อมูลจำนวนมาก ๆ ได้ในทีเดียว ซึ่งมีประโยชน์มากในยุคนี้ที่ข้อมูลมีเยอะเกินไปบนอินเตอร์เน็ต
เหมาะกับ Responsive Design - ดีไซน์แบบการ์ดที่เป็นสี่เหลี่ยม ทำให้สามารถเขียนโค้ดทำ Responsive ได้ง่าย ซึ่งสำคัญมากในช่วงนี้ที่การเข้าเว็บไซต์ผ่านมือถือมาแรงขึ้นเรื่อย ๆ
จะเห็นว่า Card Design เป็น UI ที่ออกมาเหมาะกับยุคสมัยตอนนี้มาก ทำให้ได้รับความนิยมสูงครับ แบบเดียวกับที่ Flat Design ได้รับความนิยมเพราะมันโหลดในมือถือได้เร็ว และช่วยให้ Interface สะอาด หาข้อมูลสำคัญได้ง่าย

แถมท้าย: ลูกเล่นของ CARD UI DESIGN

อย่างที่เกริ่นไปในตอนต้นว่า “การ์ดมีสองด้าน” ทำให้เราสามารถทำ UI เท่ ๆ แบบนี้ออกมาได้ครับ
ตัวอย่าง User Interface Design Card
ตัวอย่างการ์ดที่พลิกด้านได้ – รูปจาก Samuel Couto
ในกรณีที่พื้นที่ในการ์ดไม่สามารถแสดงข้อมูลได้หมด เราอาจจะเอาวิธีนี้มาใช้ก็ได้ครับ ซึ่งการ์ดพลิกด้านแบบนี้สามารถเขียนได้ง่าย ๆ ด้วย CSS3 เลย
CARD คืออนาคตของ UI DESIGN แบบ RESPONSIVE
คำกล่าวนี้คงจะไม่ผิดนักครับ เพราะเว็บไซต์ดัง ๆ หลายเว็บได้ใช้ Card ในการทำ User Interface และประสบความสำเร็จอย่างสูง แถมยังเหมาะกับเทรนด์ตอนนี้ที่ Responsive

Credit:designil

 MySimpleDiary ชีวิตง่ายๆแค่คิดบวก สวัสดีครับ

วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2557

เหตุผลดีๆ ของการเขียนเล่าเรื่องตัวเอง

วันนี้ก็มีเรื่องเกี่ยวกับเหตุผลดีๆที่เราได้จากการเขียนเล่าเรื่องราวของตัวเอง ลองรับชมกันนะครับ

yes 
ทำให้เรามีสติมากขึ้น

          การเขียนนั้นเป็นการย้ำเตือนในสิ่งที่เรามีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อน หรือความสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ และสำหรับคนที่รู้สึกว่ากำลังสูญเสียอะไรบางอย่างไป การเขียนเล่าเรื่องนั้นจะยิ่งเป็นผลดีเลยล่ะ เพราะมันสามารถให้เรารู้สึกดีขึ้น และทำให้นึกถึงสิ่งที่มีมากกว่าสิ่งที่สูญเสียไป

yes สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้ตนเองได้

         เมื่อเราคิดอยากจะเขียนไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม แน่นอนว่ามันต้องใช้ความกล้าในการเขียนสิ่ง ๆ นั้น และการเขียนเล่าเรื่องนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะทำให้เรากล้าที่จะ เขียนและบอกเล่าสิ่งต่าง ๆ มากขึ้น

yes เริ่มต้นสร้างความหมายของชีวิตได้ผ่านการเขียน

          คงมีคนจำนวนไม่น้อยที่เคยหลงทางอยู่ในความวุ่นวาย โดยที่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงต้องพบกับเหตุการณ์วุ่นวายเหล่านี้ การเขียนเล่าเรื่องนั้นจะทำให้เราสามารถเรียบเรียงความคิดและเหตุการณ์ ทุกอย่างได้ และจะทำให้เรารู้ถึงความหมายของเหตุการณ์เหล่านั้น

yes เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความสัมพันธ์ได้

          แม้ว่าเราจะเขียนเพื่อตัวเราเอง แต่จริง ๆ แล้วการเขียนเล่าเรื่องเป็นการเขียนเพื่อแบ่งปันข้อคิด หรือความรู้สึกให้ผู้อื่นได้รับรู้ ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้จะช่วยทำให้เราได้ติดต่อกับผู้อื่นและสร้างความ สัมพันธ์ได้ ถ้าหากใครที่กำลังรู้สึกโดดเดี่ยวลองใช้เรื่องราวของเราในการสร้างความ สัมพันธ์กับผู้อื่นดูสิคะ

yes ช่วยระบายและเยียวยาจิตใจได้

          การเขียนเล่าเรื่องสามารถเยียวยาบาดแผลในจิตใจที่เกิดขึ้นได้ และเมื่อบาดแผลในจิตใจนั้นดีขึ้นก็จะทำให้อาการเจ็บป่วยดีขึ้นได้

yes เป็นการรับฟังที่สิ่งอยู่ภายในจิตใจ

          การเขียนเล่าเรื่องเป็นวิธีที่เราจะสามารถเรียนรู้ว่าภายในใจของเรานั้นคิดอย่างไร ทำให้เราสามารถเรียนรู้ตัวเองได้มากขึ้น

yes ช่วยเก็บความทรงจำที่ดีและร้ายเอาไว้ได้ครบถ้วน

          การเขียนเล่าเรื่องนอกจากจะเป็นการบอกเล่าและแบ่งปันประสบการณ์กับคนอื่น ๆ แล้ว ก็ยังทำให้เราสามารถเก็บเรื่องราวที่เกิดขึ้นเอาไว้เป็นความทรงจำได้อย่าง ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นข้อเท็จจริงหรือความรู้สึกซึ่งสื่อออกมาจากการเขียน ทำให้เราสามารถจะระลึกถึงได้

yes ทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น

          แม้ว่าอาจจะมีหลาย ๆ เรื่องที่เราไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ แต่การบอกเล่าเรื่องนั้นก็จะทำให้มีความคิดความอ่านที่พัฒนา ขึ้น รู้จักตัวเองมากขึ้น และผ่านกับปัญหาต่าง ๆ ไปอย่างช้า ๆ ด้วยความอดทนได้

          เชื่อว่า ๆ หลายคนก็คงเริ่มที่จะสนใจในการเขียนเล่าเรื่องตัวเองกันแล้วใช่ไหม ซึ่งการเขียนนั้นไม่จำเป็นต้องเขียนลงในโซเชียลมีเดียเพื่อให้คนอื่นได้อ่าน เสมอไป แค่เพียงเรารู้สึกอยากจะเขียนแล้วหยิบปากกาขึ้นมาเริ่มต้นเขียนก็ถือเป็นการ เล่าเรื่องได้แล้ว

ที่มา : kapook.com

เป็นไงครับ ประโยชน์มากมายเกี่ยวกับการเขียนเล่าเรื่องราวของตัวเอง ยังไงก็แล้วกลับมาพบกันใหม่นะครับกับ 
MySimpleDiary ชีวิตง่ายๆแค่คิดบวก สวัสดีครับ

วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2557

พบกับ 23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก

ถ้าใครหลายๆคน เบื่อกับการที่ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปเรียนหนังสือ หรือเข้าเรียนให้ทัน ไหนจะต้องนั่งรถเมย์ที่ติดยามเข้า หรือคุณพ่อและคุณแม่ขับรถไปส่ง นั้นลำบากหรือเป็นเรื่องที่น่าเบื่อแล้วละก็ ลองมาพบกับ 23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก นี้กันหน่อย แล้วหลายๆคน จะเห็นได้ว่าชีวิตเราสบายแค่ไหน ถ้ายังจะขี้เกียจอยู่เหมือนเดิม ลองไปอยู่โรงเรียนใน 23 ที่นี้กันหน่อยแล้วจะเข้าใจว่าการเดินทางของเรานั้นสบายกว่าเป็นไหนๆ

23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก

การศึกษาไม่ว่าจะประเทศไหนๆ ล้วนก็ให้ความสำคัญเหมือนกันทั้งนั้น แค่ขึ้นอยู่กับว่าประเทศไหนจะมีการพัฒนาในเรื่องนี้มากน้อย หรือรวดเร็วมากกว่ากัน อย่างที่เราๆ เคยเห็นกันในประเทศที่ความเจริญเข้าถึง การศึกษานั้นก็มาเต็มรูปแบบทั้งสื่อการเรียนการสอน การบูรณาการการเรียน เครื่องไม้เครื่องมือ อุปกรณ์มีครบครัน รวมถึงที่ตั้งของโรงเรียนก็มักจะเป็นที่กลางใจเมือง หรือมีการเดินทางที่สะดวกสบาย แต่ในบางประเทศ บางพื้นที่ที่ความเจริญเข้าไม่ถึง อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องอุปกรณ์การเรียน หรือสื่อการสอนเลย แค่การเดินทางก็ลำบากสุดๆ แล้วเหมือนกัน แต่ด้วยความที่เด็กๆ และครอบครัวเห็นเรื่องการศึกษาเป็นเรืองสำคัญ ถึงลำบากแค่ไหนก็ยอม ..
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
เด็กนักเรียนชายคนหนึ่งต้องเดินทางโดยใช้ลาเป็นพาหนะ โดยมีคุณตามาส่ง
1. โรงเรียนประถมในหมู่บ้าน Gulu ในภาคตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศจีน โรงเรียนประถม BANGO มีจำนวนเด็กนักเรียน 49 คน มาจากหลายๆ หมู่บ้าน เด็กนักเรียนต้องเดินทางผ่านเส้นทางภูเขา หน้าผาสูงชัน นานกว่า 5 ชั่วโมง ซึ่งขนาดของความกว้างของถนนเพียง 1 ฟุตเท่านั้นเอง ต้องเดินทางเป็นทางขึ้น-ลงภูเขา หน้าผาสูงชัน และเต็มไปด้วยหินแทบทั้งนั้น ต้องเดินลัดเลาะตามเทือกเขาที่คดเคี้ยว และทางแคบๆ ซึ่งนับว่าอันตรายที่สุด! โรงเรียนแห่งนี้ยังถูกยกให้เป็น “The Most Remote School In The World” (โรงเรียนที่ไกลที่สุดของโลก) อีกด้วยคะ
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
2. ในมณฑลเสฉวน ประเทศจีน เด็กนักเรียนในหมู่บ้าน Zhang Jiawan นี้ต้องเดินทางโดยการปีนป่ายบันไดไม้ ไปโรงเรียนที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าผาที่ 2,800 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล โดยที่ไม่มีหลักประกันรองรับอุบัติเหตุใดๆ ทั้งสิ้น เด็กนักเรียนจะอยู่ที่โรงเรียนเป็นเวลา 1 สัปดาห์ และจะกลับบ้านในทุกวันหยุดของสัปดาห์ ต่อมาบันไดไม้ก็ถูกรับปรุงเป็นบันไดเหล็กซึ่งมีความแข็งแรงกว่า ทำให้มีความปลอดภัยขึ้นมาอีกขึ้นหนึ่ง
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
คุณครู Li Guilin กำลังช่วยดูแลเด็กนักเรียนที่กำลังปืนบันไดขึ้นไปยังโรงเรียน
นอกจากนี้ยังมี โรงเรียนประถมในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ในมณฑล Guizhou ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน ต้องเดินทางขึ้นเขาเพื่อไปยังโรงเรียนที่ตั้งอยู่ในถ้ำขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นเองจากธรรมชาติเป็นเวลากว่าพันปี
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
เทือกเขาหิมาลัย
3.  ประเทศอินเดีย เด็กต้องเดินทางเพื่อจะไปโรงเรียนประจำ โดยใช้เส้นทางผ่านเทือกเขาหิมาลัย
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
เด็กนักเรียนต้องเดินทางข้ามแม่น้ำ โดยข้ามสะพานแขวนที่ชำรุดเสียหาย
4.  Lebak ในประเทศอินโดนีเซีย เด็กนักเรียนต้องเดินทางข้ามแม่น้ำ โดยข้ามสะพานแขวนที่ชำรุดเสียหาย อันตรายเกิ๊น >,< แต่หลังจากที่ข่าวออกมา ทางการของอินโดนีเซียก็ได้ทำการสร้างสะพานที่ทำจากเหล็กแบบแข็งแรงขึ้นมาใหม่ เพื่อให้เด็กนักเรียนในหมู่บ้านนี้เดินทางไปโรงเรียนได้อย่างปลอดภัย
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
เดซี่ โมรา เดินทางด้วยสายเคเบิ้ลด้วยความเร็ว 50 ไมล์ต่อชั่วโมง การเดินทางทั้งหมดใช้เวลา 60 วินาที
5. ประเทศโคลัมเบีย เด็กนักเรียนในหมู่บ้านห่างไกล ต้องเหาะเหินบนสายเคเบิ้ลผ่านหุบเขา ยาวกว่า 800 เมตร ที่อยู่เหนือแม่น้ำ Rio Negro เพื่อข้ามฝั่งไปยังโรงเรียน
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
พายเรือแคนู
6. Riau ในประเทศอินเดีย เด็กนักเรียนต้องพายเรือแคนูผ่านแม่น้ำสายหลักไปยังโรงเรียนของพวกเขา
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
ข้ามรากต้นไม้ใหญ่ “สะพานแห่งชีวิต”
7. ประเทศอินเดีย เด็กนักเรียนเดินทางผ่านหุบเขา ข้ามรากต้นไม้ใหญ่ ไปโรงเรียน RCLP ในหมู่บ้าน Nongsohphan ซึ่งเกิดจากการที่คนในหมู่บ้านนั้นปลูก เพาะบ่ม เสริมสร้างรากต้นไม้ เมื่อวลาผ่านไปรากต้นไม้ก็งอกงามกลายมาเป็น “สะพานแห่งชีวิต”
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
ขี่ควายไปโรงเรียน
8. ในประเทศพม่า ในบางพื้นที่ที่ยังไม่เจริญ เด็กนักเรียนนั้นต้องขี่ควายไปโรงเรียนที่อยู่ระยะทางไกล
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
เด็กนักเรียนตุ๊กๆ (รถลาก) เก่าๆ
9. ในเมืองนิวเดลี ประเทศอินเดีย เด็กนักเรียนหลายชีวิต นั่งเกวียน (ใช้ม้าลาก) ขณะกำลังเดินทางจากโรงเรียนกลับบ้าน
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
Zhao Dzhihong และ Ji Yi ลูกสาววัย 4 ขวบ เดินทางข้ามสะพานหัก ในขณะที่หิมะกำลังตก เพื่อไปยังโรงเรียนใน Dutszyanguan ในมณฑลเสฉวน
10. โรงเรียน  Dujiangyan มณฑลเสฉวน ในประเทศจีน เด็กนักเรียนต้องเดินทางข้ามสะพานไม้ที่อยู่ในสภาพหัก-ชำรุดมาก ที่เกิดจากภัยภิบัติธรรมชาติ พร้อมบรรยากาศที่เหน็บหนาวจากหิมะตก เพื่อเดินทางไปยังโรงเรียน
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
นั่งเรือข้ามแม่น้ำ
11. ใน Pangururan ประเทศอินโดนีเซีย เด็กนักเรียนนั่งเรือข้ามแม่น้ำเพื่อมายังโรงเรียน ถ้าในเรือมีนักเรียนนั่งเต็ม คนที่เหลือก็ต้องมายืนบนหลังคา หรือส่วนอื่นๆ ของเรือแทน
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
Century Galle Fort ในประเทศศรีลังกา
12. Century Galle Fort  ในประเทศศรีลังกา นักเรียนหญิงต้องเดินข้ามไปโรงเรียนโดยใช้ไม้กระดาน ที่นำมาจากกำแพงในศตวรรษที่ 16
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
13. ใน Kerala ประเทศอินเดีย นักเรียนเดินทางไปโรงเรียนโดยเรือ
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
นั่งรถตุ๊กๆ (รถลาก) เก่าๆ
14. ใน Beldanga ประเทศอินเดีย เด็กนักเรียนนั่งรถตุ๊กๆ (รถลาก) เก่าๆ ไม่มีที่นั่งพอสำหรับทุกคนไปโรงเรียน
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
แพชั่วคราว
15. เด็กนักเรียนยากจน อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน Cilangkap ในจังหวัด Banten ประเทศอินโดนีเซีย ต้องเดินทางไปโรงเรียนข้ามแม่น้ำ Ciherang โดยใช้แพไม้ไผ่แคบๆ เป็นเวลามากกว่า 10 เดือน เนื่องจากสะพานข้ามแม่น้ำเกิดพังเสียหายจากเหตุการณ์น้ำท่วม และทางการท้องถิ่นก็ยังไม่ได้แก้ไขจึงต้องใช้แพนี้ชั่วคราว (10 เดือนก็ไม่ชั่วคราวละนะ >,<) ส่วนเด็กบางข้ามแม่น้ำด้วยการเดินเท้าก็มี
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
เดินทางระยะไกลแถมยากลำบากกว่า 125 ไมล์ (กว่า 40 กม.) ผ่านเทือกเขา
16. นักเรียนจำนวน 80 คน ต้องเดินทางระยะไกลแถมยากลำบากกว่า 125 ไมล์ (กว่า 40 กม.) ผ่านเทือกเขาของนักเรียนเพื่อเดินทางไปโรงเรียนประจำ (กินนอน) ในมณฑล Pili ประเทศจีน อีกทั้งยังต้องข้ามผ่านแม่น้ำถึง 4 สาย ซึ่งระยะการเดินทางของเด็กๆ โรงเรียนนี้รวมแล้วใช้เวลาถึง 2 วัน!!
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
ในเกาะสุมาตรา ในประเทศอินโดนีเซีย
17. ในเกาะสุมาตรา ในประเทศอินโดนีเซีย ในทุกๆ วัน เด็กนักเรียนกว่า 20 คนต้องเดินทางไปโรงเรียนใน Pinto Gabang โดยการไต่เชือก (ที่จริงแล้วเป็นสะพานข้ามแต่ชำรุดอย่างหนักจากการที่ฝนตกอย่างหนัก) สูงกว่า 30 ฟุต (9.1เมตร) ข้ามแม่น้ำปาดัง หลังจากข้ามแม่น้ำแล้วก็ต้องเดินทางไกลอีก 11 ไมล์ผ่านป่ากว่าจะไปถึงโรงเรียน ..
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก 1
เดินทางไปโรงเรียนโดยการใช้ห่วงยาง
18. โรงเรียนประถมในจังหวัด Rizal ทางตะวันออกของกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เด็กนักเรียนต้องเดินทางไปโรงเรียนโดยการใช้ห่วงยางอันใหญ่นั่งข้ามฝั่งไปยังโรงเรียน (อันตรายไปไหมเนี่ยหนูๆ >,<) ซึ่งตอนนี้ได้ร้องเรียนรัฐบาลท้องถิ่นให้ทำขึ้นสะพานแขวนขึ้น เพื่อที่จะทำให้เด็กๆ เดินทางข้ามแม่น้ำไปเรียนได้เร็วขึ้นและปลอดภัยมากขึ้นกว่านี้
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
แม่กำลังแบกโต๊ะเรียน ในขณะที่ลูกสาวช่วยหิ้วเก้าอี้เรียน ไปโรงเรียน Macheng ในมณฑลหูเป่ย์ ประเทศจีน
19. โรงเรียน Macheng ในมณฑลหูเป่ย์ ประเทศจีน มีจำนวนนักเรียนมากกว่า 5000 คน แต่อุปกรณ์โต๊ะเรียนนั้นมีแค่ 3000 ตัวเท่านั้น ไม่เพียงพอแก่เด็กนักเรียน ทำให้เด็กนักเรียนที่เหลือกว่า 2000 คนนั้นต้องแบกโต๊ะเรียนของพวกเขา ซึ่งอาจจะเป็นของตั้งแต่รุ่นพ่อ-แม่นั้นแบกไปโรงเรียนเองในวันเปิดเทอมเรียนวันแรก
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
20. ในเขตปกครองตนเอง มณฑล  Guangxi Zhuang ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน เด็กนักเรียนที่อาศัยอยู่ในแทบภูเขาต้องเดินทางระยะไกลมากๆ เพื่อจะมายังโรงเรียนที่อยู่ในหมู่บ้านซึ่งอยู่ห่างไกลบ้านของพวกเขา เด็กๆ ส่วนใหญ่จะประจำอยู่ที่โรงเรียนเป็นปีๆ และจะได้กลับบ้านในช่วงปิดเทอม ภาคฤดูร้อน หรือวันหยุดต่างๆ
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
เดินทางหลายร้อยเมตรผ่านหุบเขาที่ลึกชัน โดยใช้รถเคเบิ้ล
21. เพื่อให้ได้ไปโรงเรียนทุกวัน เด็กๆ ในหมู่บ้านบนภูเขา ในประเทศจีนต้องเดินทางหลายร้อยเมตรผ่านหุบเขาที่ลึกชัน โดยใช้รถเคเบิ้ลที่ทำกันขึ้นมาเองในหมู่บ้าน ซึ่งก่อนหน้านี้ต้องการเดินทางโดยการเดินเท้าและใช้เวลา 5 ชั่วโมง
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
โรงเรียนที่ตั้งอยู่ใกล้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์
22. โรงเรียนประถม Omika เป็นโรงเรียนที่ตั้งอยู่ใกล้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Fukishima Daiichi ซึ่งเคยมีคนตายจากแผ่รังสีที่มาจากโรงงานนี้ มีนักเรียนจำวน 91 จากเดิม 205 นักเรียนยังคงเรียนอยู่ที่นี่ และที่โรงเรียนแห่งนี้จะมีตัววัดรังสีแสดงให้นักเรียนเห็นอีกด้วย “อย่าเข้ามาใกล้นะ อันตราย” เอิ่บ .. เดินทางว่าลำบากแล้ว ต้องมาเจอรังสีอำมหิตอีกหรอนี่ >.<
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
ต้องว่ายน้ำข้ามแม่น้ำที่มีความกว้าง 15 เมตร มีความลึกกว่า 20 เมตร
23. เด็กนักเรียนชาวเวียดนาม ต้องว่ายน้ำข้ามแม่น้ำที่มีความกว้าง  15 เมตร มีความลึกกว่า 20 เมตร ถึงวันละ 2 ครั้ง โดยเด็กๆ แก้ผ้าเปลือยเปล่าว่ายข้ามแม่น้ำ นำชุดนักเรียน หนังสือ กระเป๋าใส่ไว้ในถุงพลาสติกกันเปียกน้ำ
credit: teen.mthai

เป็นไงกันบ้างครับกับการเดินทางที่น่าหลาดเสียว ผมว่าทุกวันนี้ที่เราบ่นว่า เบื่อ ลำบาก ลองเทียบกับ 23 ที่นี้ดูแล้วผมว่ามันสบายกว่ากันเยอะมากเลยนะครับ ก็ใครที่ยังคิดว่ามันยังยากไปอยู่ลองปรับทัศนคติดูใหม่นะครับ เพราะถ้าแค่นี้ลำบากแล้วพ่อกับแม่ที่ทำงานส่งเรามาเรียนนั้นลำบากกว่าแน่นอนครับ ใช้ชีวิตในวัยเรียนให้สนุก เก็บเกี่ยวความรู้ให้มีเยอะๆ แล้วพบกันใหม่นะครับกับ MySimpleDiary ชีวิตง่ายๆแค่คิดบวก สวัสดีครับ